วันอังคารที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2558

สูตรลดน้ำหนัก เร่งด่วนใน 3 วัน

สูตรลดน้ำหนัก เร่งด่วนใน 3 วัน



สูตรลดน้ำหนัก สำหรับใครที่ใจร้อน อยาก ลดความอ้วน ลดน้ำหนัก แบบรวดเร็ว เร่งด่วน ภายในระยะเวลา 3 วัน

 วิธีลดน้ำหนักนี้ ควรปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด วันที่ 1

มื้อเช้า : ชาหรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาล ส้มโอ 1/2 ผล ขนมปังปิ้ง 1 แผ่น ถั่วเหลืองในซอสมะเขือเทศ มื้อกลางวัน : ชาหรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาล ปลาทูน่า 4 ออนซ์ (ประมาณ 115 กรัม) ขนมปังปิ้ง 1 แผ่น มื้อเย็น : แฮม 2 แผ่น ถั่วฝักยาวต้ม 4 ออนซ์ ไอศกรีมวนิลา 4 ออนซ์ บีทรูทต้ม 4 ออนซ์

  วันที่ 2 มื้อเช้า : ชาหรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาล ขนมปังปิ้ง 1 แผ่น ไข่ต้ม 1 ฟอง กล้วยหอม 1/2 ผล มื้อกลางวัน : ชาหรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาล แคร๊กเกอร์ (แบบเค็ม) 5 แผ่น Coltage Cheese (คล้ายโยเกิร์ต) 120 กรัม มื้อเย็น : แฮม 2 แผ่น บร็อคคอลรี่ต้ม 4 ออนซ์ แครอทต้ม 4 ออนซ์ ไอศกรีมวนิลา 4 ออนซ์ กล้วยหอม 1/2 ผล

  วันที่ 3 มื้อเช้า : ชาหรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาล แคร๊กเกอร์ (แบบเค็ม) 5 แผ่น Cheddar Cheese 1 แผ่น แอ๊ปเปิ้ล 1 ผล มื้อกลางวัน : ชาหรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาล ขนมปังปิ้ง 1 แผ่น ไข่ต้ม 1 ฟอง มื้อเย็น : ปลาทูน่า 4 ออนซ์ บีทรูทต้ม 4 ออนซ์ ไอศกรีมวนิลา 4 ออนซ์ ดอกกระหล่ำต้ม 4 ออนซ์ แคนตาลูป 1/2 ผล

  หมายเหตุ 1. ขนมปังปิ้งต้องปิ้งจนแห้ง ห้ามทาเนยหรือมาการีน 2. แคร๊กเกอร์ต้องเป็นรสเค็ม 3. ปลาทูน่าและถั่วฝักยาวสามารถแช่แข็งได้ 4. อาหารชุดนี้จะทำปฏิกิริยาทางเคมีซึ่งกันและกัน และพิสูจน์ได้

  ข้อห้าม 1. ห้ามเปลี่ยนแปลงหรือทดแทนอาหารอื่น ห้ามใช้เครื่องปรุงอื่น นอกจากเกลือและพริกไทย 2. รายการใดที่ไม่ได้กำหนดไว้ชัดเจน ให้ใช้วิจารณญาณตามความเหมาะสม สูตรอาหารนี้ให้ใช้ติดต่อกัน 3 วัน ภายใน 3 วัน ควรลดน้ำหนักได้ 10 ปอนด์ หรือประมาณ 4.5 กิโลกรัม หลังจาก 3 วัน สามารถรับประทานอาหารได้ตามปกติค่ะ * เมนูลดน้ำหนัก จะได้ผลสูงสุด ควรงดและละเว้นอาหารประเภทของหวาน กะทิ ขนมต่างๆ เครื่องในสัตว์ น้ำอัดลม ไขมัน ของทอดของมันทุกอย่าง เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิดด้วย

ข้อควรรู้ก่อนลดน้ำหนัก

ข้อควรรู้ก่อนลดน้ำหนัก



หลักการง่ายๆ ที่เราเน้นกันบ่อยๆ ถ้าต้องการลดน้ำหนัก หรือควบคุมน้ำหนักตัวไม่ให้เปลี่ยนแปลง คุณควรรับประทานอาหารที่มีปริมาณแคลอรีเท่ากับที่ใช้ออกไปในแต่ละวัน น้ำหนักตัวที่ได้ก็จะมีค่าคงที่ ในกรณีที่ต้องการให้น้ำหนักตัวลดลง จำเป็นต้องใช้พลังงานออกไปมากกว่าการได้รับพลังงานเข้ามา ในทางตรงข้ามถ้ารับประทานอาหารเข้าไปมากเกินความต้องการของร่างกาย พลังงานหรือแคลอรีส่วนเกินจะถูกเก็บสะสมในรูปของไขมัน พบว่าการเผาผลาญไขมัน 0.45 กิโลกรัม (1 ปอนด์) จำเป็นต้องใช้พลังงานถึง 3,500 แคลอรีโดยประมาณ

  การลดน้ำหนักให้ได้ผล ควรประกอบไปด้วย 3 วิธีดังนี้
1. ลดปริมาณอาหารหรือแคลอรีที่รับประทานเข้าไปให้ต่ำกว่าปกติ แต่รักษาระดับของการทำกิจกรรมหรือออกกำลังกายให้คงที่

 2. รักษาระดับของอาหารหรือแคลอรีที่รับประทานเข้าไปให้คงที่ แต่เพิ่มการใช้พลังงานมากขึ้นกว่าปกติ

 3. ปริมาณอาหารหรือแคลอรีที่รับประทานเข้าไปลง และเพิ่มการใช้พลังงานมากขึ้นในแต่ละวัน ข้อควรจำ : น้ำหนักที่เหมาะสมในการลดน้ำหนักควรอยู่ระหว่าง 0.5-1 กิโลกรัม (1-2 ปอนด์) ต่อสัปดาห์ จะไม่มีผลต่อการสูญเสียมวลกล้ามเนื้อ และไม่ทำให้ร่างกายเกิดความเครียดมากเกินไป

  วิธีออกกำลังกายเพื่อควบคุมและลดน้ำหนัก
การออกกำลังกายนอกจากจะต้องคำนึงถึงรูปแบบโปรแกรมที่ปลอดภัยและมีประสิทธิผลแล้ว ควรกำหนดโปรแกรมที่สามารถทำได้อย่างต่อเนื่องตลอดไปด้วย เท่าที่พบมาประมาณครึ่งหนึ่งของคนที่บริหารร่างกายเพื่อการลดน้ำหนัก มักจะเลิกออกกำลังกายกลางคันในเวลาสั้นๆ ทำให้การออกกำลังกายไม่ได้ผลอย่างที่ควรเป็น ดังนั้นใครที่กำลังจะเริ่มต้นออกกำลังกายเพื่อลดน้ำหนัก มีวิธีมาแนะนำดังต่อไปนี้ – ค่อยๆ เริ่มช้าๆ ดูระดับความแข็งแรงและความสามารถของตนเอง อย่าใจร้อนออกกำลังกายหักโหม เพราะอาจได้รับบาดเจ็บและผลที่ได้อาจไม่เป็นไปอย่างที่คิด ทำให้ท้อแท้จนถึงกับเลิกออกกำลังกายไปเลย ถ้าเป็นคนที่มีน้ำหนักตัวมากๆ ควรเริ่มด้วยการออกกำลังกายแบบมีแรงกระแทกต่ำ เช่น การเดิน ปั่นจักรยาน หรือว่ายน้ำ เป็นต้น – ตั้งเป้าหมาย เริ่มจากสั้นๆ ก่อนถ้าทำได้แล้วค่อยๆ เพิ่มเป้าหมายให้ยาวขึ้นหรือหนักขึ้น เช่น ตั้งใจว่าจะเดินออกกำลังกายให้ได้ 25 นาทีในช่วงเดือนแรกและลดน้ำหนักให้ได้ 2-4 กิโลกรัม หลังจากนั้นเข้าร่วมออกกำลังกายในคลาสปั่นจักรยานให้ครบ 50 นาทีภายในเดือนที่ 3 และลดน้ำหนักลงให้ได้ 6-12 กิโลกรัม – มีการบันทึกตารางการออกกำลังกาย เพื่อดูผลความก้าวหน้า ให้ได้ตามเป้าหมายที่กำหนด จะช่วยเพิ่มแรงจูงใจ ในการออกกำลังกายอย่างต่อเนื่องต่อไป – ควรจัดตารางเวลาของการออกกำลังกาย ไว้ในชีวิตประจำวันให้ได้ คุณสามารถเลือกทำกิจกรรม 2 อย่างพร้อมกันในเวลาเดียว เช่น วิ่งบนลู่วิ่งในเวลาที่ต้องดูข่าวทีวี เป็นต้น – เลือกสถานที่ออกกำลังกายที่สะดวกต่อการเดินทาง – ข้อนี้สำคัญที่สุดครับ คือ ควรหากิจกรรมออกกำลังกายที่คุณจะรู้สึกชอบและสนุกไปกับมัน เพื่อที่จะปฏิบัติได้อย่างต่อเนื่องและตลอดไป

มะนาว สมุนไพรลดความอ้วน ดีที่สุด

มะนาว สมุนไพรลดความอ้วน ดีที่สุด





สมุนไพรไทยใกล้ตัวอีกชนิดหนึ่ง ที่ช่วยลดความอ้วน ลดน้ำหนักได้ดี ก็คือ มะนาว นั่นเอง ซึ่งทุกบ้านจะต้องมีมะนาวอยู่ในตู้เย็นแน่นอน เพราะแทบทุกที่ ทุกตลาดจะมีมะนาวแน่นอน แต่ก็ถือว่าเป็นพืชผักที่มีราคาสูงเหมือนกัน มะนาว เป็นสมุนไพรลดความอ้วนได้จริงๆ หลายคนได้ผลโดยใช้วิธีนี้ ลองทำตามดูนะ ตื่นเช้ามา ดื่มน้ำมะนาวผสมน้ำสะอาด หรือน้ำอุ่น ก่อนเริ่มกิจวัตรประจำวัน นอกจากระบายท้องได้ดีแล้ว ผ่านไป 2 อาทิตย์ เสื้อผ้าเริ่มหลวม ใส่สบาย เมื่อผ่านไปครบ 1 เดือน จะผอมลง ขาเล็กลงอย่างเห็นได้ชัด หรือจะดื่มแทนน้ำเปล่าได้ยิ่งดี อย่างน้อยวันละ 6-8 แก้ว ก่อนมื้ออาหารแต่ละมื้อ บีบมะนาวครึ่งลูกผสมน้ำสะอาดแล้วดื่ม ก่อนอาหารมื้อกลางวัน และเย็น จะช่วยให้อิ่ม และลดความน้ำหนักได้ดี นอกจากนี้ สามารถเอาเปลือกมะนาวถูตามใบหน้า ปรากฏว่าสิวยุบ หน้าใสปิ๊งด้วย นอกจากนั้นยังเอาเปลือกมานาวไปถูบริเวณหลังมือ ข้อศอก ส้นเท้า หรือบริเวณที่มีรอยแผลดำ จะทำให้รอยดำ เลื่อนหายไป อย่างเห็นได้ชัด นอกจากนี้ การดื่มน้ำมะนาว ยังช่วยรักษาและทำความสะอาดภายในร่างกาย ขจัดสารพิษออกจากตับ ช่วยในการดูดซึมแร่ธาตุและวิตามินที่จำเป็นต่อร่างกาย ทำให้รู้สึกกระชุ่มกระชวย สำหรับภูมิปัญญาไทย นำมะนาวมาทำเป็นสมุนไพร ขับเสมหะ แก้ไข เลือดออกตามไรฟัน เหงือกบวม แก้อาการปวดศรีษะ แก้อาเจียน เมาเหล้า ขจัดคราบบุหรี่ บำรุงสายตา บำรุงผิว ที่สำคัญที่สุดก็คือ มีฤทธิ์ในการกำจัดไขมัน และคลอเรสเตอรอล

สมุนไพร ช่วยบำรุงไต

สมุนไพร ช่วยบำรุงไต





มารู้จักพืชสมุนไพรอีกตัวที่ช่วยบำรุงไตและลดน้ำตาลในเลือดกันนะคะ มันจีนหรือฮ่วยซัว,Chinese Yam, 淮山 ชื่อวิทยาศาสตร์ Dioscorea Opposita Thumb เป็นพืชในสกุลกลอย ซึ่งต่างจากสมาชิกอื่น ที่สามารถรับประทานดิบได้ ในอาหารญี่ปุ่น นำไปรับประทานดิบหรือบด โดยนำทั้งหัวไปล้างด้วยน้ำส้มสายชู เพื่อล้างผลึกออกซาเลตออกก่อน(วิกิ) สรรพคุณ เป็นสมุนไพรที่ชาวจีนมีความเชื่อว่าใช้เพื่อบำรุงไต และปรับสมดุล หยิน หยางในร่างกาย บำรุงการไหลเวียนของเลือด ช่วยบำรุงระบบการปัสสาวะ ลดระดับน้ำตาลและลดความดันในเลือด ช่วยบำรุงระบบการย่อยอาหาร

วันจันทร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2558

สมุนไพร 60 ชนิด ช่วยผู้ป่วยโรคเบาหวาน

สมุนไพร บำบัดเบาหวาน 150 ชนิด โดยเภสัชกร หญิง จุไรรัตน์ เกิดดอนแฝก

สมุนไพรบำบัดเบาหวาน 150 ชนิด จากหนังสือสมุนไพรบำบัดเบาหวาน ผ่านการวิจัยและทดลองแล้วในต่างประเทศและประเทศไทย รวบรวมเรียบเรียงโดย เภสัชกรหญิง จุไรรัตน์ เกิดดอนแฝก เภสัชกร 8 วช. ศูนย์บริการสาธารณสุข 53 ทุ่งสองห้อง กทม.ขอนำข้อมูลชื่อของสมุนไพรและวิธีใช้มาบอกกล่าวให้ทราบตามที่อาจารย์เขียนไว้ในหนังสือ.





 1. กระเจี๊ยบ วิธีใช้ นำผลอ่อน มาปรุงอาหารเป็นผักจิ้มน้ำพริก หรือทำเป็นผลแห้งนำมาบดเป็นผง ชงรับประทานกับน้ำ ใช้รักษาโรคเบาหวานและกระเพาะอาหาร

 2. กระชับ วิธีใช้ นำรากสด 120 กรัม ทุบให้แตกต้มกับน้ำ 3 แก้ว ต้มให้เดือดนาน 20 นาทีแบ่งน้ำมาดื่มตอนเช้า –เย็น ก่อนอาหาร

 3. กระถิน วิธีใช้ นำเมล็ดกระถินมาบดเป็นผง หรือคั่วกินเป็นอาหาร ปรกติยอดและฝักอ่อนใช้เป็นผักจิ้มน้ำพริกเป็นอาหาร

4. กระถินเทศ วิธีใช้ นำเมล็ดกระถินเทศ มาบดเป็นผงหรือคั่วกินเป็นอาหาร 

5. กระเทียม วิธีใช้ ให้กินกระเทียมสด 3-5 กลีบ/วัน เป็นประจำ โดยสับให้ละเอียดกินวันละประมาณ 2ช้อนชา (10 กรัม) กินร่วมกับอาหารอื่นๆ กระเทียมเป็นสมุนไพรที่ใช้ปรุงอาหารในครัวเรือน มีรสค่อนข้างเผ็ดร้อน ระคายเคืองกระเพาะ หากกินกระเทียมสด ต้องกินพร้อมอาหารที่มีโปรตีนเช่น เนื้อ ไข่

6. กระเพรา วิธีใช้ ทำเป็นชาชงดื่ม โดยนำใบกระเพรามาตากแห้ง ชงดื่มแทนน้ำ ปรุงเป็นอาหาร

 7. กะหล่ำปลี วิธีใช้ นำใบกะหล่ำปลี มาปรุงเป็นอาหารไม่จำกัดจำนวน 

8. กำแพง เจ็ดชั้น วิธีใช้ นำต้นกำแพงเจ็ดชั้นมาต้มดื่มทั้งวัน

 9. กรดน้ำ วิธีใช้ นำต้นและใบสด 1 กำมือมาต้ม 3แก้ว เคี่ยวนาน 30 นาที แบ่งมาดื่มเช้าเย็นก่อนอาหาร 

10. กรุงเขมา วิธีใช้ นำต้นและใบ 10กำมือ ต้มนาน 30 นาที แบ่งมาดื่มเช้าเย็นก่อนอาหาร

11. กานพลู วิธีใช้ นำดอก ปรุงเป็นอาหาร เป็นเครื่องเทศ ปรุงรสอาหาร

12. กาแฟ วิธีใช้ นำเมล็ดที่คั่วแล้ว มาชงกับน้ำร้อนเป็นเครื่องดื่ม ยามว่าง 

13. โกฏกระดูก วิธีใช้ นำรากสด 90-120 กรัมมาทุบให้แหลก ต้มน้ำต้มนาน 30 นาที ดื่ม เช้า-เย็น ก่อนอาหาร

14. กล้วย วิธีใช้ ดอกหรือปลี นำมาปรุงอาหาร 

15. ข้าว วิธีใช้ ใช้ส่วนราก นำมารับประทาน อาจอยู่ในรูปเครื่องดื่ม 

16. ข้าวสาลี วิธีใช้ นำรำข้าวสาลีมาชงน้ำร้อน ดื่มเช้า- เย็นก่อนอาหาร หรือนำเมล็ดข้าวสาลีปรุงเป็นอาหารในรูปของธัญพืช

 17. ข้าวโพด วิธีใช้ ยอดข้าวโพด 100กรัมนำมาต้มดื่มเช้า-เย็น หรือฝอยข้าวโพด 1 กรัม นำมาต้มดื่มเช้า-เย็น

 18. ขนุน วิธีใช้ นำใบขนุนแก่ 5-10 ใบ มาต้มในน้ำ 3แก้ว เคี่ยวนาน 30 นาที นำมาดื่มเช้า-เย็นก่อนอาหาร  
 19. ขิง วิธีใช้เห้งาขิง แก่สด มาคั้นน้ำให้ได้ครึ่งถ้วย ต้มกินน้ำ 2 ถ้วย ดื่มวันละ 3 ครั้งอาจเติมเกลือ มะนาวเพื่อเพิ่มรสชาติ หรือใช้ผงขิง 1-2 ช้อนชาชงน้ำร้อนดื่มบ่อยๆ

20. คูณ วิธีใช้ นำรากสด 90-120 กรัม มาทุบให้แหลก นำมาต้มกับน้ำ 3 แก้ว เคี่ยวนาน 30นาที แบ่งดื่ม เช้า เย็น ก่อนอาหาร 21. คึ่นไฉ่ วิธีใช้ ใช้ต้น ก้าน ใบ นำมา 1กำมือ ต้มน้ำดื่ม หรือคั้นน้ำ ทำเป็นน้ำสมุนไพรดื่ม เช้า –เย็น ก่อนอาหารหรือนำมาผัดทำเป็นอาหาร

 22. คำแสด วิธีใช้ เมล็ด 110-120 กรัม หรือ รากสด 90-120 กรัม ทุบให้แหลก นำมาต้มน้ำดื่ม เช้า-เย็นก่อนอาหาร

 23. แครอท วิธีใช้ รากหรือหัวนำมาทำสลัด แกงจืด ผัดผัก คั้นเป็นเครื่องดื่มและแต่งสีอาหารให้มีสีเหลืองหรือส้ม

 24. แคแดง วิธีใช้ นำต้นและเปลือกต้น 1 กำมือต้มน้ำดื่ม แทนน้ำหรือนำดอก ยอดอ่อน มาลวกจิ้มน้ำพริก หรือ ทำเป็นแกงส้ม

 25. คาง วิธีใช้ เปลือกต้น 3-4 ชิ้น นำมาต้มน้ำดื่ม เช้า-เย็น ก่อนอาหาร

 26. จำปา รากสด 90- 120 กรัม ทุบให้แหลก นำมาต้มน้ำ 3 แก้ว เคี่ยวนาน 30 นาที แบ่งดื่ม เช้า-เย็น ก่อนอาหาร

27. จิกนา วิธีใช้ นำเปือกต้นและราสด 90-120 กรัม มาต้มน้ำดื่ม เช้าเย็น ก่อนอาหาร

 28. ชาแป้น วิธีใช้ นำรากสด90-120 กรัม มาทุบให้แหลก นำมาต้มน้ำ 3 แก้ว นาน 30 นาที แบ่งดื่มเช้า-เย็น ก่อนอาหาร วิธีใช้ ใบแห้ง 1 หยิบมือ ชงน้ำร้อน 1-2แก้วทิ้งไว้ 5-10 นาทีนำมาจิบบ่อยๆดื่มต่างน้ำ

 29. ชา วิธีใช้ นำใบสดหรือแห้ง 1 กำมือนำมาต้มน้ำดื่มเคี่ยวนาน 30นาที แบ่งดื่มเช้า-เย็น ก่อนอาหาร

 30. ชุมเห็ดเทศ วิธีใช้ นำใบสด หรือแห้ง 1 กำมือนำมาต้มน้ำ 3 แก้ว เคี่ยวนาน30 นาที แบ่งมาดื่มเช้า-เย็นก่อนอาหาร

 31. ชะพลู วิธีใช้ใช้ชะพลูสดทั้ง 5 จำนวน 7 ต้นล้างน้ำให้สะอาด ใส่น้ำพอท่วมต้มให้เดือดสักพัก นำมาดื่มเหมือนดื่มน้ำชา

 32. ชงโค วิธีใช้ นำใบแห้ง 1กำมือ ต้มน้ำดื่มตลอดวัน

 33. ชิงช้าชาลี วิธีใช้ นำต้นใบ เถา 1 กำมือ ต้มน้ำ 3แก้ว เคี่ยวนาน 10-15 นาที นำมาแบ่งดื่ม เช้า-เย็น หรือใช้ราก 90-120 กรัมทุบให้แหลก ต้มน้ำดื่ม เช้า –เย็น 

 34. เดือย วิธีใช้ นำลูกเดือย มาต้มกินเป็นอาหารว่าง

 35. ดีปลี วิธีใช้ ผลแห้งดับกลิ่นคาวในแกงเผ็ด แกงคั่ว ใช้ถนอมอาหารไม่ให้บูด หรือนำรากและลำต้นสด 1 กำมือ มาต้มนาน 20 นาที ดื่ม เช้า-เย็น

 36. ตะโก วิธีใช้ นำส่วนของลำต้น ( แก่น) หรือเปลือก 4-6 ชิ้น มาต้มน้ำ 1 ลิตร ดื่มต่างน้ำ

 37.ตำลึง วิธีใช้ ขนาดที่ใช้ ใบสดตำลึง 250 กรัม ต่อน้ำหนักตัว 50 กิโลกรัม เช้าเย็น วันละ 2 ครั้ง

 38. เตยหอม วิธีใช้ นำรากเตยหอม 1 กำมือ ต้มน้ำดื่ม เช้า - เย็น 

39. ถั่วเขียว วิธีใช้ นำเมล็ดถั่วเขียวมาต้มน้ำใช้น้ำตาลเทียม เป็นของหวานหลังอาหาร หรือนำมาปรุงเป็นอาหาร

 40. ถั่วแระต้น วิธีใช้ นำเมล็ดถั่วแระต้น มารับประทานเป็นของกินเล่น

 41. ถั่วเหลือง วิธีใช้ นำเมล็ดถั่วเหลืองมาทำเป็นน้ำถั่วเหลือง ดื่มเป็นเครื่องดื่มแทนอาหารว่าง หรือทำเป็นน้ำเต้าหู้ นำมาปรุงอาหาร

 42. ท้อ วิธีใช้ ใช้เมล็ดแห้งนำมาตำให้ละเอียดตวง1-2ช้อนชา หรือเมล็ดสด 4 กรัมชงน้ำดื่มเช้า-เย็น ก่อนอาหารไว้ชงกินกับน้ำร้อน

 43. ทับทิม วิธีใช้ นำเมล็ด มารับประทานหรือนำมาตากแห้ง บดเป็นผงตวง 1-2 ช้อนชา ชงน้ำร้อนดื่มเช้า-เย็น

 44. โทงเทง วิธีใช้ ใช้ราก 1กำมือ ต้มกับน้ำรับประทานวันละ2 ครั้ง เช้า-เย็น

 45. ทองพันชั่ง วิธีใช้ นำส่วนของต้นกับใบมา 1กำมือ ต้มน้ำ 3 แก้ว เคี่ยวนาน 30 นาทีแบ่งดื่มเช้า-เย็น ก่อนอาหาร

 46. ทองหลางใบมน วิธีใช้ นำใบทองหลางมาทานเป็นอาหาร

 47. เทียนเกล็ดหอย วิธีใช้ นำเมล็ดมาแช่น้ำให้พองตัวแล้วดื่ม ขนาดที่ใช้ 7.5 กรัม

 48. เทียนเยาวพานี วิธีใช้ เมล็ดแห้ง 7.5 กรัมนำมาแช่น้ำนาน 5-10 นาทีแล้วดื่มเช้า-เย็น

 49. น้ำเต้า วิธีใช้ นำใบแห้ง 1 กำมือมาชงกับนำร้อนเป็นชาดื่มแทนน้ำตลอดวัน 

50. บุก วิธีใช้แยกแป้งเป็นเนื้อทรายแล้วชงดื่ม ใช้แป้ง 1 ช้อน ต่อน้ำ 1 แก้วชงดื่มวันละ 2-3 มื้อก่อนอาหาร ครึ่งขาวโมง

 51. บุกอีรอกเขา วิธีใช้ นำหัวบุก ที่อยู่ใต้ดินมาปรุงเป็นอาหาร 

52. บัว วิธีใช้ ใช้ดอกบัวสดหั่นนำมาตากแห้ง คั่วให้หอมเก็บไว้ชงดื่ม เช่นเดียวกับน้ำชาโดยหยิบเอาดอกบัวตรั้งละหยิบมือเล็กๆชงกับน้ำร้อน 1 แก้ว จิบกินไปเรื่อยๆเหมือนน้ำชาชงกิน 3 ครั้งก็ให้เปลี่ยนยาใหม่ 

53. บัวจงกลนี วิธีใช้ ใช้ดอกบัวสดมาหั่นนำมาตากแห้งคั่วให้หอม เก็บไว้ชงดื่มกับน้ำร้อน หรือใช้ดีบัวแห้งครั้งละหยิบมือเล็กๆ ใส่น้ำร้อน 1 แก้ว ชงดื่มไปเรื่อยๆแทนน้ำ 

54. บวบเหลี่ยม วิธีใช้ นำผลบวบ มาปรุงเป็นอาหาร 

55. บอระเพ็ด วิธีใช้ ใช้เถาสด 30-40 กรัมต้มน้ำดื่ม ข้อควรระวังการใช้ไม่ควรใช้ขนาดสูงติดต่อกันนานๆ เพราะจะทำให้ ตับ ไต ทำงานผิดปรกติ

 56. ประดู่ วิธีใช้ ใบประดู่ 1 กำมือ นำมาต้มน้ำ 3 แก้ว แบ่งดื่มเช้า-เย็น ก่อนอาหาร

 57. ปรู๋ วิธีใช้ใบและต้น 1 กำมือ ต้มน้ำ3แก้วเคี่ยวนาน 30นาที แบ่งน้ำดื่มเช้า-เย็น ก่อนอาหาร

 58. ปอกระเจา วิธีใช้นำใบปอกระเจา มาทำอาหาร หรือ ตากใบให้แห้งนำมา 1 กำมือ ชงน้ำร้อนแช่นาน 5-10 นาที นำมาดื่มแทนน้ำทั้งวัน

 59. ผักเชียงดา วิธีใช้ นำผักเชียงดา ต้น ใบ มาปรุงเป็นอาหาร

 60. ผักเบี้ยใหญ่ วิธีใช้ นำใบมาตากแห้ง 1กำมือ นำมาชงน้ำร้อนดื่มเช้า-เย็นก่อนอาหาร

สมุนไพร..คู่ใจเบาหวาน

สมุนไพร..คู่ใจเบาหวาน


                                                                    สมุนไพร...
คู่ใจผู้ป่วยเบาหวาน กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้ทำการรวบรวมงานศึกษาวิจัยจากแหล่งข้อมูลต่างๆ พบรายงานวิจัยทั้งในไทยและต่างประเทศรวม 81 เรื่อง มีพืชสมุนไพร 54 ชนิด ที่สามารถช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด โดยสมุนไพรที่มากรทดลองนั้นมาจากประสบการณ์การใช้ของชาวบ้านแล้วนำไปทดลองต่อ ซึ่งเราจะขอยกตัวอย่างสมุนไพรที่ช่วยลดระดับน้ำตาลในผู้ป่วยเบาหวาน ดังนี้




1. ช้าพลู (Wild Pepper) ช้าพลู คู่เมี่ยงคำ ผักประจำ คนเบาหวาน ชื่อวิทยาศาสตร์ Piper sarmentosum Roxb.ex Hunter วงศ์ PIPERACEAE


ช้าพลูเป็นผักพื้นบ้านที่คนนิยมรับประทานสดๆ เป็นส่วนประกอบของเมี่ยงคำ เชื่อกันว่าเป็นอาหารบำรุงธาตุ ช่วยย่อยอาหาร คนอิสานยังเชื่อว่าใบช้าพลูมีสรรพคุณแก้พิษของหอย จึงนิยมทำแกงกะทิหอยใส่ใบช้าพลู ภาคใต้นิยมนำช้าพลูมาช่วยในการย่อยอาหาร ขับลม แก้ไอ ขับเสมหะ ในประเทศไทยมีตำรับยาพื้นบ้านที่ใช้ช้าพลูทั้งห้าต้มแก้เบาหวาน ซึ่งใช้แพร่หลายในชาวบ้าน ต่อมามีการศึกษา โดยต้มช้าพลูทั้งห้า แล้วทดสอบในกระต่าย พบว่าช้าพลูต้มสามารถช่วยลดน้ำตาลได้ดีในกระต่ายที่เป็นเบาหวาน แต่ไม่ลดในกระต่ายปกติ นอกจากนี้ ช้าพลูจัดเป็นสมุนไพรที่เหมาะสำหรับการแนะนำผู้ป่วยเบาหวานเนื่องจากมีฤทธิ์แอนตี้อ๊อกซิแด็นท์สูงมาก ทั้งยังมีปริมาณแคลเซียม วิตามินเอ วิตามินซี สูงมากชนิดหนึ่ง และไม่ลดน้ำตาลในคนปกติอีกด้วย จึงเหมาะสำหรับนำมาทานเป็นอาหาร เป็นชาหรือยาต้มในคนทั่วไปและผู้ป่วยเบาหวาน วิธีใช้ นำช้าพลูทั้งห้า(ทั้งต้นจนถึงราก) 1 กำมือ ต้มกับน้ำ 3 ขัน เคี้ยวให้เหลือ 1 ขัน รับประทานครั้งละ ครึ่งแก้วกาแฟก่อนอาหาร 3 มื้อ สรรพคุณ ช่วยลดน้ำตาลในเลือด


2. มะระขี้นก (Bitter Cucumber) ขมนักผักมะระขี้นก รูปร่างก็ตลก แต่ทั่วโลกยอมรับ กับการแก้เบาหวาน ชื่อวิทยาศาสตร์ Momordica charantia Linn. วงศ์ Cucurbitaceae มะระขี้นกจัดว่าเป็นสมุนไพรของไทย จีน พม่า อินเดีย แอฟริกาและอเมริกาใต้ และต่างรู้โดยทั่วกันว่ามีสรรพคุณในการรักษาเบาหวาน และในทุกภาคของไทยมีการใช้มะระขี้นกเป็นผัก ลวกจิ้มน้ำพริกทำอาหารร่วมกับผักอื่นๆ และส่วนใหญ่มักจะลวกก่อนเพื่อลดความขม มะระขี้ยกขึ้นง่ายปลูกเองได้ในบ้าน ยอดอ่อน ผลอ่อนนำมาปรุงอาหารได้ มีวิตามินเอและซีสูว รวมทั้งมีรายงานการศึกษาวิจัยสรรพคุณการลดน้ำตาลในเลือด พบว่า สามารถใช้ได้ทั้งในรูปแบบของน้ำคั้น ชาชง แคปซูล ผงแห้ง มะระชี้นกนั้นออกฤทธิ์คล้ายอินซูลิน กระตุ้นการหลั่งอินซูลิน ยับยั้งการสังเคราะห์กลูโคส และเพิ่มการใช้กลูโคสของตับ องค์ประกอบทางเคมีของมะระขี้นกที่มีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือด คือ p-Insulin , Charantin และ Visine ตำรับยา น้ำคั้นสดมะระขี้นก นำผลมะระขี้นกสด 8-10 ผล เอาเมล็ดในออก ใส่น้ำเล็กน้อย ปั่นคั้นเอาแต่น้ำดื่ม (ประมาณ 100 มล.) หรือรับประทานทั้งกากก็ได้ แบ่งรับประทานวันละ3เวลา ต่อเนื่อง ตำรับยา ชามะระขี้นก เอาเนื้อมะระขี้นกผลเล็กซึ่งมีตัวยามากมาผ่าเอาแต่เนื้อหั่นชิ้นเล็กๆ ตากแดดให้แห้งแล้วชงกับน้ำเดือด โดยใช้ชินมะระ 1-2 ชิ้น ต่อน้ำ 1 ถ้วย ดื่มแบบชาครั้งละ 2 ถ้วย วันละ 3 เวลา หรือต้มเอาน้ำมาดื่มก็ได้ หรือ ใส่กระติกน้ำร้อนต้มดื่มแทนน้ำ ไม่เกิน 1 เดือน เห็นผล ตำรับยา ทำแคปซูล หรือลูกกลอน มะระขี้นก รับประทานมะระขี้นก 500-1000 มก. วันละ 1-2 ครั้ง ข้อควรระวัง คนท้อง เด็ก คนที่ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำไม่ควรรับประทาน

ยาน้ำสมุนไพรเถาเอ็นอ่อน

ยาน้ำสมุนไพรเถาเอ็นอ่อนบรรเทาอาการปวดเมื่อย คลายเส้นเอ็น และบำรุงร่างกาย รับประทานได้ทั้งหญิง ชาย เด็กและคนสูงอายุ





ยาน้ำสมุนไพรเถาเอ็นอ่อน เป็นยาสามัญประจำบ้าน ผลิตจากสมุนไพรมากกว่า 20 ชนิด สรรพคุณ เป็นยาบรรเทาอาการปวดเมื่อย คลายเอ็น และบำรุงร่างกาย รับประทานได้ทั้งชาย หญิง เด็ก และคนสูงอายุ คำว่า " บำรุงร่างกาย " - ช่วยบำรุงร่างกายเปรียบเสมือนเป็น ยาอายุวัฒนะ เสริมสร้างภูมิต้านทานโรคแก่ร่างกาย - ช่วยบรรเทาอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย อึดอัด หายใจไม่เต็มอิ่ม - ช่วยบรรเทาอาการปวดข้อ ปวดกล้ามเนื้อ ไขข้ออักเสบ - ช่วยบรรเทาอาการปวดหลัง ปวดเอว ปวดเมื่อย เหน็บชา หน้าซีดเชียว - แขนขาไม่มีแรง ง่วงนอนเป็นประจำ เป็นหวัด เป็นไอบ่อยๆ - ช่วยอาการมึนหัว หน้ามืด ใจสั่น มือเท้าเย็นชา - ล้างสารพิษตกค้างในร่างกาย ช่วยให้ระบบการขับถ่ายดีขึ้น ลดปริมาณไขมันในเส้นเลือด - เบาหวาน ความดัน ความเครียด แก้กษัย โลหิตเป็นพิษ ไตพิการ - ช่วยให้สมรรถภาพทางร่างกายดีขึ้น - ช่วยระบบการไหลเวียนโลหิตดีขึ้น กล้ามเนื้อแข็งแรง น้ำยา 15,000 ซี.ซี. ประกอบด้วย : เถาเอ็นอ่อน 1,000 กรัม แก่นแสมทะเล 500 กรัม แก่นขี้เหล็ก 500 กรัม เถาวัลย์เปรียง 500 กรัม กำลังเสือโคร่ง 500 กรัม กำลังหนุมาน 500 กรัม กำลังวัวเถลิง 500 กรัม เถาโคคลาน 500 กรัม เถาสะค้าน 500 กรัม ดอกดีปลี 500 กรัม รากช้าพลู 500 กรัม รากเจตมูลเพลิง 500 กรัม เหง้าขิงแห้ง 500 กรัม กำแพงเจ็ดชั้น 500 กรัม โด่ไม่รู้ล้ม 500 กรัม ม้ากระทืบโรง 500 กรัม กำลังช้างสาร 500 กรัม โกฐสอ 250 กรัม โกฐเขมา 250 กรัม โกฐหัวบัว 250 กรัม โกฐจุฬาลัมพา 250 กรัม โกฐเชียง (โสมตังกุย) 250 กรัม และ สมุนไพร ตัวยาอื่นๆ (รับประทาน เช้า - เย็น ก่อนอาหาร 2 - 3 ซ้อนโต๊ะ)

ยาน้ำสมุนไพรเถาเอ็นอ่อน ตราหมอทองอินทร์ จัดจำหน่ายโดย บริษัท พีเอสไทยซัคเซส จำกัด PSTHAISUCCESS CO., LTD. ปรับสภาพร่างกายให้สมดุล บำรุงธาตุทั้ง 4 ให้บริบูรณ์ - ดีปลี (ธาตุดิน) - รากช้าพลู (ธาตุน้ำ) - เกาสะค้าน (ธาตุลม) - รากมูลเพลิง (ธาตุไฟ) - เหง้าขิงแห้ง (อากาศธาตุ) แก้ปวดเมื่อย คลายเส้น คลายกล้ามเนื้อ - เถาเอ็นอ่อน - เถาวัลย์เปียง - เถาโคคลาน บำรุงร่างกาย บำรุงกำลัง บำรุงธาตุ บำรุงโลหิต - กำลังเสือโคร่ง - กำลังหนุมาน - กำลังวัวเถลิง - กำลังช้างสาร - กำแพงเจ็ดชั้น บำรุงหัวใจ บำรุงโลหิต แก้หอบหืด ขับปัสสาวะ แก้ริดสีดวง - โกฐสอ - โกฐเขมา - โกฐหัวบัว - โกฐจุฬาลัมพา - โกศเชียง แก้กษัย ดูแลความเสื่อมในส่วนต่างๆของร่างกาย - แก่นแสมทะเล - แก่นขี้เหล็ก บำรุงกำหนัด บำรุงสมรรถนะทางเพศ บำรุงกำลัง - โด่ไม่รู้ล้ม - ม้ากระทีบโรง คุณสมบัติของสมุนไพร ที่ได้บันทึกในตำราแพทย์แผนไทย ดอกดีปลี รากช้าพลู เถาสะค้าน รากเจตมูลเพลิง เหง้าขิงแห้ง สรรพคุณ : บำรุงกองธาตุทั้งสี่ ขับลมในลำไส้และกระเพาะอาหารให้เรอ ขับลมแก้จุกเสียด แก้อาการคลื่นเหียน อาเจียน แก้อาการปวดท้อง เสียดท้อง ท้องอืด ท้องเฟ้อ อาการไอ ขับเสมหะ กระจายโลหิต ช่วยให้โลหิตไหลเวียนดี แก้ริดสีดวงทวาร บำรุงโลหิต โกฐสอ โกฐเขมา โกฐหัวบัว โกฐจุฬาลัมพา โกฐเชียง(โสมตังกุย) สรรพคุณ : แก้ไข้ แก้ไอ แก้หอบหืด บำรุงหัวใจชุ่มชื่น แก้ไขที่มีผื่นขึ้นตามตัว เช่น หัดเลือด สุกใส ดำแดง ฝีดาษ ไข้รากสาด แก้โรคปอด แก้โรคในปาก บำรุงโลหิต ชูกำลัง แก้ลมในกองธาตุ แก้อาหารไม่ย่อย ขับปัสสาวะ และอุจจาระให้เดินสะดวก แก้เจ็บตา แก้ริดสีดวง แก้ท้องเสีย ขับลมในลำไส้ แก่นแสมทะเล สรรพคุณ : ขับลมในกระดูก ขับโลหิตประจำเดือนสตรี ขับโลหิตระดูสตรีให้ปกติ แก้กระษัย แก่นขี้เหล็ก สรรพคุณ : แก้กระษัย แก้ไตพิการ ปวดบั้นเอว ขับปัสสาวะ บำรุงโลหิต ขับระดูเสีย แก้ไฟธาตุพิการ เหน็บช้า กามโรค เถาวัลย์เปรียง สรรพคุณ : ถ่ายเส้น ถ่ายกระษัย แก้เส้นเอ็นขอด เส้นตึง แก้ปวดเมื่อย ทำให้เส้นเอ็นหย่อน ขับปัสสาวะ ถ่ายเสมหะลงคูถทวาร กำลังเสือโคร่ง สรรพคุณ : บำรุงธาตุ บำรุงเส้นเอ็น เจริญอาหาร บำรุงร่างกาย บำรุงกำลัง แก้ปวดเมื่อยตามร่างกาย กำลังหนุมาน สรรพคุณ : แก้น้ำดีพิการ นอนสะดุ้งผวา หลับๆตื่นๆ ร้อนหน้าน้ำตาไหล กำลังวัวเถลิง สรรพคุณ : บำรุงธาตุ บำรุงโลหิต บำรุงเส้นเอ็น บำรุงร่างกาย แก้ปวดเมื่อยตามร่างกาย เถาโคคลาน สรรพคุณ : แก้ปวดเมื่อยตามร่างกาย ครั่นเนื้อครั่นตัว เส้นตึง แก้ปวดหลัง ปวดเอว แก้กระษัย แก้ไตพิการ ขับปัสสาวะ บำรุงโลหิต เถาเอ็นอ่อน (เถาเอ็น หรือ เถาเมื่อย) สรรพคุณ : แก้ปวดเมื่อย เสียวตามร่างกาย เมื่อยขบ แก้เส้นตึง บำรุงเส้นเอ็น ขับลมในลำไส้ แก้ปวดท้อง ท้องขึ้นอืดเฟ้อ แน่นจุกเสียด กำลังช้างสาร สรรพคุณ : บำรุงธาตุ บำรุงโลหิต แก้อ่อนเพลีย ม้ากระทืบโรง สรรพคุณ : บำรุงธาตุ บำรุงโลหิต บำรุงกำหนัด กำแพงเจ็ดชั้น สรรพคุณ : ขับโลหิต บำรุงโลหิต ขับผายลม แก้ไข้ แก้ปวดตามข้อ แก้เม็ดผดผื่นคัน โด่ไม่รู้ล้ม สรรพคุณ : แก้ไข้ กระษัย แก้ปัสสาวะพิการ บำรุงกำหนัด ข้อควรจำเกี่ยวกับการรับประทานยาสมุนไพร ข้อ 1 เมื่อเริ่มรับประทานยาสมุนไพร ให้รับประทานติดต่อกัน 15 วัน ก็จะเห็นผล ถ้ารับประทานยาสมุนไพรไม่ต่อเนื่อง สรรพคุณก็จะเห็นผลไม่ชัดเจน ข้อ 2 ให้รับประทานยาสมุนไพรก่อนอาหารวันละ 2 ครั้ง คือ เวลาเช้า และ เวลาเย็น ปริมาณตามที่กำหนด ควรรับประทานยาสมุนไพรในขณะที่ท้องว่างมากที่สุด ร่างกายก็จะได้รับผลประโยชน์สูงสุดเช่นกัน (เวลาที่เหมาะสมที่สุด คือ ตื่นนอนตอนเช้า) ข้อ 3 ถ้ารับประทานยาสมุนไพรแล้วเกิดมีอาการเป็นไข้ ตัวร้อน ไอ ให้หยุดรับประทานยาสมุนไพรไว้ก่อน หรือรับประทานลดลงกว่าปกติครึ่งหนึ่ง เมื่อมีอาการดังกล่าวหายแล้ว ค่อยรับประทานต่อเท่าที่กำหนด ข้อ 4 ในกรณีบางคนเมื่อรับประทานยาสมุนไพรแล้วมีอาการ หน้าอกตึงมาก ปวดมดลูก ปวดในช่องคลอด หรือมีประจำเดือนมาใหม่ ขออย่าได้ตกใจ ให้รับประทานยาสมุนไพรลดลงกว่าปกติครึ่งหนี่ง เมื่ออาการต่างๆ เหล่านี้ลดลงแล้วค่อยรับประทานเพิ่มขึ้นตามที่กำหนดไว้ ข้อ 5 ถ้ารับประทานยาสมุนไพรแล้วเกิดมีอาการ สบัดร้อนสบัดหนาว เมื่อยตึง คล้ายกับเป็นไข้ ให้รับประทานยาสมุนไพร ลดลงครึ่งหนึ่ง เมื่ออาการต่างๆ ที่เกิดขึ้นหายแล้วให้รับประทานต่อเท่าที่กำหนดไว้ ข้อ 6 ในกรณีบางคนเมื่อรับประทานยาสมุนไพรแล้ว เกิดอาการปวดข้อ ปวดบวมตามร่างกาย หรือเกิดอาการแพ้มีเม็ดผื่นขึ้นตามร่างกาย อย่าได้หยุดรับประทานขอให้รับประทานต่อไปสักพัก 7 ถึง 10 วัน อาการดังกล่าวจะหายไปเอง เพราะว่าร่างกายกำลังปรับสภาพ หรือลดปริมาณการรับประทานลงครึ่งหนึ่ง เมื่ออาการดังกล่าวเหล่านี้หายแล้ว ให้รับประทานต่อตามที่กำหนดไว้ ข้อ 7 เมื่อรับประทานยาสมุนไพรแล้ว ขอให้ดึ่มน้ำอุ่นๆ ตามสัก 1 หรือ 2 แก้ว เพราะว่าน้ำอุ่นจะเป็นตัวขับยาให้เข้าสู่ร่างกายได้เร็วยิ่งขึ้น สุขภาพดี และการใช้ผลิตภัณฑ์สมุนไพรเถาเอ็นอ่อน โดย หมอพล เดินสายกลาง พท.ภ., พท.ว ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ ด้านการใช้ผลิตภัณฑ์ 1.โรคเบาหวาน สาเหตุ - เบาหวานเป็นโรคดรื้อรังที่เกิดขึ้น จากการมีระดับน้ำตาลในกระแสเลือด สูงเกินกว่า 120 mg/dl เนื่องจาก ตับ ตับอ่อน มีปัญหาผลผลิตหรือสร้างฮอร์โมนอินซูลีน นำน้ำตาล ในกระแสเลือด ไปให้เซลล์ใช้เป็นพลังงานได้ อาการ - อ่อนเพลีย เหนื่อย นอนไม่หลับ กลางคืนกระหายน้ำ และปัสสาวะบ่อย ผลที่ตามมา - จะมีความดันโลหิตสูง - โรคหัวใจโต - หลอดเลือดอักเสบ - ชา แขนปลายมือ ปลายเท้า - มีแผลเรื้อรังเกิดขึ้น วิธีการดูแลและการใช้ผลิตภัณฑ์ 1.ใช้ยาสตรีพิ้งค์นภา 20-30 ซีซี ก่อนอาหาร เวลาเช้า-เย็น หรือใช้ยาน้ำสมุนไพรเถาเอ็นอ่อน 20-30 ซีซี ก่อนอาหารเวลาเช้า-เย็น ร่วมกับแฟมิลี่ 20-30 ซีซี ก่อนอาหาร 2 เวลา เช้า-เย็น ข้อแนะนำ หลังจากใช้ผลิตภัณฑ์ ทั้ง 2 แล้ว หากมีการตรวจเลือด จะพบว่า ระดับ น้ำตาลในเลือดจะสูงกว่าก่อนใช้ แนะนำให้ใช้ผลิตภัณฑ์ต่อไป 1-3 เดือน ระดับน้ำตาล จะค่อยๆๆปรับลดลงสู่สภาวะปกติ 2.โรคเก๊าต์ สาเหตุ - เก๊าต์เป็นโรคเรื้อรังที่เกิดจากการสะสม กรดยูริค ในกระแสเลือดเกินกว่ามาตรฐาน จากผลของการตรวจเลือด (ผู้ชายเป็นมากกว่าผู้หญิง) - ปกติผลเลือดผู้หญิง ไม่เกิน 6 /dl - ผลเลือดผู้ชาย ไม่เกิน 7 mg/dl อาการ - จะบวมแดง อักเสบ ปวด บริเวณที่ข้อใหญ่ เช่น ข้อเท้า ข้อเข่า - จะมีอาการกำเริบเมื่อถูกความเย็น ผลที่ตามมา - ผู้ป่วยกว่า 70 % จะเสียชีวิตเพราะ ไตวาย วิธีการดูแลและการใช้ผลิตภัณฑ์ 1. ใช้ยาน้ำสมุนไพรเถาเอ็นอ่อน 20-30 ซี ซี ก่อนอาหาร 2 เวลา เช้า-เย็น ร่วมกับ 2. เครื่องดื่มสมุนไพร แฟมิลี่ 30 ซี ซี ก่อนอาหาร 2 เวลา เช้า-เย็น ข้อแนะนำ หลังการใช้ผลิตภัณฑ์ทั้ง 2 แล้ว มีอาการปวด ต้องใช้ต่อไปอย่างสม่ำเสมอ ต่อเนื่อง จนกว่าจะสู่สภาวะปกติ 3.โรคไขมันในเลือดและความดันโลหิตสูง สาเหตุ ความดันโลหิตเป็นเครื่องชี้วัดสมรรถภาพของหัวใจและการไหลเวียนของระบบเลือด เมื่อไขมันหรือโคเลสเตอรอลในเลือดสูงหัวใจต้องทำงานหนัก เพื่อสูบ-ฉีด เลือดไปเลี้ยงมนส่วนต่างๆของร่างกาย(ความดันสูง=140/90) อาการ - ปวดหัว เวียนหัว นอนไม่หลับ ฯลฯ ผลเสีย เสี่ยงต่อเส้นเลือดในสมองแตก และอัมพาต วิธีการดูแลและการใช้ผลิตภัณฑ์ - 3 วันแรก ใช้ยาสตรีพิ้งค์นภา 10cc ก่อนอาหาร 2 เวลา เช้า-เย็น หรือใช้ยาน้ำสมุนไพร เถาเอ็นอ่อน 10 cc ก่อนอาหาร 2เวลา เช้า-เย็น ร่วมกับเครื่องดื่มน้ำสมุนไพรแฟมิลี่ 10 cc ก่อนอาหาร 2 เวลา เช้า-เย็น - วันที่ 4 เป็นต้นไป ใช้ยาสตรีพิ้งค์นภา 20 cc ก่อนอาหาร 2 เวลา เช้า-เย็น ร่วมกับเครื่องดื่มน้ำสมุนไพรแฟมิลี่ 20 cc ก่อนอาหาร 2 เวลา เช้า-เย็น ข้อแนะนำ - ภายหลังการใช้ผลิตภัณฑ์ทั้ง 2 แล้ว มีอาการความดันสูงกว่าปกติ แนะนำให้ใช้ต่อไป โดยค่อยๆปรับปริมาณตามสภาพร่างกายจนกว่าจะกลับสู่สภาวะปกติ - ลดอาหารรสเค็มจัด - ลดอาหารไขมัน - ออกกำลังกายสม่ำเสมอ 4.โรคอัมพฤกษ์และอัมพาต สาเหตุ - เป็นอาการต่อเนื่องจากโรคไขมันในเลือดและความดันโลหิตสูง ทำให้เส้นเลือดไปเลี้ยงสมองตีบ และเส้นเลือดเลี้ยงสมองแตก อาการ - ปากเบี้ยว ลิ้น ขากรรไกรแข็ง พูดไม่ได้ หรือไม่ชัด - แขน-ขา ยกไม่ได้ ช่วยตัวเองไม่ได้ ผลเสีย - ไม่สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ - แขน-ขา จะเล็กลีบ วิธีการดูแลและการใช้ผลิตภัณฑ์ - ใช้ยาสตรีพิ้งค์นภา 20 cc ก่อนอาหาร 2 เวลา เช้า-เย็น หรือ - ใช้ยาน้ำสมุนไพร เถาเอ็นอ่อน 20 cc ก่อนอาหาร 2 เวลา เช้า-เย็น ร่วมกับเครื่องดื่มน้ำสมุนไพรแฟมิลี่ 30 cc ก่อนอาหาร 2 เวลา เช้า-เย็น ข้อแนะนำ ในขณะที่ใช้ผลิตภัณฑ์ทั้ง 2 ให้ผู้ป่วยทำกายภาพทุกวัน จนกว่าอาการจะเริ่มดีขึ้น 5.โรคภูมิแพ้ สาเหตุ เป็นอาการเรื้อรังจากร่างกายได้รับสารกระตุ้นทำให้ร่างกายหลั่งสารต่อต้านออกมาป้องกันอาการที่เกิดขึ้นมากเกินไป อาการ - คันตา ต้องขยี้ตาบ่อยๆ - คันเหงือก มีน้ำมูกใสๆ เสียงเปลี่ยน - มีผื่นคัน หรือเป็นลมพิษ - คัดจมูก จามบ่อยๆ - หงุดหงิด ผลเสีย - ถ้าไม่รักษาหรือดูแลสุขภาพจะทำให้อาการเรื้อรัง - หากรักษาไม่ถูกวิธี อาการจะกำเริบ วิธีการดูแลและการใช้ผลิตภัณฑ์ - ใช้ยาสตรีพิ้งค์นภา 30 cc ก่อนอาหาร 2 เวลา เช้า-เย็น หรือ - ใช้ยาน้ำสมุนไพร เถาเอ็นอ่อน 30 cc ก่อนอาหาร 2เวลา เช้า-เย็น ร่วมกับเครื่องดื่มน้ำสมุนไพรแฟมิลี่ 30 cc ก่อนอาหาร 2 เวลา เช้า-เย็น ข้อแนะนำ - ผู้ป่วยต้องงดของหวานทุกชนิด - หลีกเลี่ยงสารกระตุ้นที่ทำให้มีอาการ - ออกกำลังกายสม่ำเสมอ - พักผ่อนให้เพียงพอ - ใช้ผลิตภัณฑ์สม่ำเสมออย่างน้อย 1 ปี 6.โรคปวดหัวข้างเดียว (ไมเกรน) สาเหตุ เกิดจากความ เครียด ซึ่งส่งผลให้การทำงานของระบบประสาท ระบบต่อมไร้ท่อต่างๆ เปลี่ยนไป ทำให้การหลั่งสารเคมีหรือฮอร์โมนที่จำเป็นต่อร่างกายเปลี่ยนแปลงไปด้วย หรือระบบประสาทและหลอดเลือดเกิดการอักเสบ อาการ ปวดหัวข้างเดียวหรือ 2 ข้าง หรือปวดบริเวณท้ายทอย ผลเสีย เมื่อมีอาการจะหงุดหงิดและทรมานมาก วิธีการดูแลและการใช้ผลิตภัณฑ์ เมื่อยังไม่มีอาการ - ใช้ยาสตรีพิ้งค์นภา 20- 30 cc ก่อนอาหาร 2 เวลา เช้า-เย็น หรือ - ใช้ยาน้ำสมุนไพร เถาเอ็นอ่อน 20-30 cc ก่อนอาหาร 2เวลา เช้า-เย็น ร่วมกับ - เครื่องดื่มน้ำสมุนไพรแฟมิลี่ 30 cc ก่อนอาหาร 2 เวลา เช้า-เย็น เมื่อมีอาการกำเริบ - ใช้ Bio-Bee Populists 3-5 หยด / น้ำครึ่งแก้ว - ทุกๆ 4 ชั่วโมง หรือเมื่อมีอาการ ข้อแนะนำ - พักผ่อนให้เพียงพอ หลีกเลี่ยงการอดนอน - ออกกำลังกายสม่ำเสมอ - หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอลล์ - หลีกเลี่ยงความเครียด 7.โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือโรคติดเชื้อ HIV สาเหตุ เกิดจากร่างกายได้รับเชื้อไวรัสเอดส์จากการได้รีบเชื้อมาจาก - การได้รับเลือดจากผู้ที่ติดเชื้อ - การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน - การมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้ป้องกัน - การถ่ายทอดจากมารดา - ทำให้เชื้อไวรัสทำลายระบบภูมิคุ้มกันส่งผลให้ร่างกายอ่อนแอและติดเชื้อต่างๆได้ง่าย อาการ ขึ้นอยู่กับระยะของการรับเชื้อและการฟักตัว วิธีการดูแลและการใช้ผลิตภัณฑ์ - ใช้ยาน้ำสมุนไพร เถาเอ็นอ่อน 50 cc ก่อนอาหาร 3เวลา เช้า-กลางวัน-เย็น ร่วมกับเครื่องดื่มน้ำสมุนไพรแฟมิลี่ 50 cc ก่อนอาหาร 3เวลา เช้า-กลางวัน-เย็น ข้อแนะนำ - ลดอาหารหมักดองทุกชนิด - รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ - ออกกำลังกายสม่ำเสมอ 8.โรคมะเร็ง สาเหตุ - มะเร็งเป็นโรคเรื้อรังที่เกิดจากร่างกายหรือ อวัยวะ หรือเซลล์ ได้รับสารกระตุ้นทำให้เซลล์กลายพันธุ์ อาการ ขึ้นอยู่กับตำแหน่งหรืออวัยวะนั้นๆ วิธีการดูแลและการใช้ผลิตภัณฑ์ ในปัจจุบันใช้การรักษาคือ - การผ่าตัด - การให้เคมีบำบัด - การใช้รังสี การใช้ธรรมชาติบำบัด ร่วมกับการรักษาในปัจจุบัน - ใช้ยาน้ำสมุนไพร เถาเอ็นอ่อน 50 cc ก่อนอาหาร 3เวลา เช้า-กลางวัน-เย็น ร่วมกับเครื่องดื่มน้ำสมุนไพรแฟมิลี่ 50 cc ก่อนอาหาร 3 เวลา เช้า-กลางวัน-เย็น ข้อแนะนำ - ปฏิบัติตามแพทย์แนะนำอย่างเคร่งครัด - ออกกำลังกายสม่ำเสมอ - หลีกเลี่ยงเนื้อสัตว์และอาหารดองทุกชนิด - หลีกเลี่ยงความเครียด

วันพฤหัสบดีที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ขมิ้นชัน สมุนไพรไทย

ขมิ้นชัน สมุนไพรไทย


 ช่วยซ่อมแซมอวัยวะภายใน กินขมิ้นชัน ทุกวันให้เป็นอาหาร แน่นอนหลายท่านคงจะไม่เข้าใจว่า กินทุกวันให้เป็นอาหารคืออะไร
เรามาทำความรู้จักกับขมิ้นชันกันก่อนดีกว่า ขมิ้นชัน เป็นพืชล้มลุกที่มีเหง้าอยู่ใต้ดิน เนื้อในของเหงาจะมีกลิ่นหอมเฉพาะตัว มีตั้งแต่สีเหลืองเข้ม จนถึงสีแสดจัด
คนไทยรู้จักกันในทางเอามาปรุงอาหาร แต่งกลิ่นอาหาร ปลาทอด ไก่ทอด แกงไตปลา และอีกสารพัดเมนู ขมิ้นชันอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิด เช่น วิตามินเอ วิตามินบี1 วิตามินบี2 วิตามินบี3 วิตามินซี วิตามินอี แคลเซียม ธาตุฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก และเกลือแร่ต่างๆ รวมไปถึงเส้นใย คาร์โบไฮเดรตและโปรตีนเป็นต้น เหง้าของขมิ้นชันนั้น มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อ แบคทีเรีย เชื้อรา ลดการอักเสบ และมีฤทธิ์ในการขับน้ำดี
 ต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันการเกิดมะเร็งตับ บำรุงตับ การศึกษาวิจัยเพิ่มเติมพบว่า การกินขมิ้นชันตามนาฬิกาชีวิตในช่วงที่อวัยวะต่างๆเปิดการทำงาน
จะช่วยส่งเสริมประสิทธิภาพของขมิ้นชันมากขึ้น เพราะฉนั้น เราต้องกินขมิ้นชันให้เป็นอาหาร ต้องกินให้สนุก ไม่ใช่กินเป็นยา ใช้ปรุงอาหารบ้าง หุงข้าวใส่ขมิ้นชันก็ได้ กิ
นแบบเม็ดแคปซูลบ้าง เรามาดูตารางเวลาสำหรับการกินขมิ้นชันกันดีกว่า นาฬิกาชีวิต (ความสัมพันธ์ของอวัยวะกับเวลา)

 
ช่วงเวลา เป็นเวลาของ
 03.00-05.00 ปอด ช่วยบำรุงปอด ป้องกันมะเร็งปอด ช่วยเรื่องภูมิแพ้ของจมูกที่หายใจไม่สะดวก ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันที่ผิวหนัง
 05.00-07.00 ลำไส้ใหญ่ ฟื้นฟูระบบประสาทลำไส้ใหญ่ ให้บีบรัดตัวเพื่อการขับถ่ายที่เป็นปรกติ ฟื้นฟูระบบดูซึมอาหารและล้างสำไส้ใหญ่ให้สะอาดลดการเกิดแก๊สพิษที่ทำให้มีกลิ่นตัว ป้องกันริดสีดวงทวาร และมะเร็งลำไส้ใหญ่
 07.00-09.00 กระเพาะอาหาร แก้โรคกระเพาะอาหาร ที่เกิดจากการกินข้าวไม่ตรงเวลา แก้ท้องอืด จุกแน่น ปวดเข่า ขาตึง ช่วยบำรุงสมอง ป้องกันความจำเสื่อม
09.00-11.00 ม้าม ช่วยแก้ปัญหาเรื่องน้ำเหลืองเสีย มีแผลในปาก อ้วนเกินไป ผอมเกินไปที่เกี่ยวข้องกับม้าม ลดอาการเบาหวาน
11.00-13.00 หัวใจ ช่วยบำรุงหัวใจให้แข็งแรง
 13.00-15.00 ลำไส้เล็ก ช่วยแก้ปัญหาปวดท้องบ่อยเพราะไขมันเกาะลำไส้เล็ก ช่วยล้างขยะในลำไส้เล็ก 15.00-17.00 กระเพาะปัสสาวะ ช่วยดูแลหูรูดของกระเพาะปัสสาวะให้แข็งแรง แก้ปัญหาเรื่องตกขาวของสตรี ควรกินน้ำกระชายในเวลานี้ด้วยจะช่วยเรื่องหูรูดและกระเพาะปัสสาวะให้แข็งแรง
 17.00-19.00 ไต
19.00-21.00 เยื่อหุ้มหัวใจ
21.00-23.00 พลังงานรวม หลังช่วงเวลา
17.00 เป็นต้นไป

 จนถึงการกินก่อนนอน ขมิ้นชันจะช่วยเรื่องความจำดี ตื่นนอนตอนเช้าจะไม่ค่อยเพลีย และช่วยให้ขับถ่ายดีขึ้น ช่วยขับไล่ไรฝุ่นที่ผิวหนังไม่ให้เกิดผลผื่นคันง่าย และช่วยขับไขมันในตับถ้ากินในปริมาณมาก จากข้อมูลข้างต้นจะเห็นว่า เราควรกินเป็นอาหารจริงๆเพราะประโยชน์จากขมิ้นชันนั้นเยอะเหลือเกิน เรียกได้ว่า กินได้ทุกที่ทุกเวลาเลยทีเดียว หากสะดวกกินขมิ้นชันแบบแคปซูล ควรเลือกซื้อจากผู้ผลิตที่มีมาตรฐานเชื่อถือได้และสะอาด ไร้สารเคมีไม่มีสเตอรอยด์

การอาบน้ำแบบหมักขี้ไคลให้นุ่มก่อนถูแบบไร้สบู่

การอาบน้ำแบบหมักขี้ไคลให้นุ่มก่อนถูแบบไร้สบู่ (เพื่อสุขภาพผิวหนังที่ดี)

การลงสบู่นั้น นอกจากทำให้ถูขี้ไคลได้ไม่เกลี้ยงแล้ว ...มีโมเลกุลสบู่เกาะฝังอยู่ในรูขุมขน ทำให้รูขุมขนอุดตัน ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพผิวหนังเลย การอาบน้ำของคนไทยวันนี้นิยมใช้ฝักบัว ถูสบู่ ถูขี้ไคล ล้างสบู่ออก ซึ่งผมว่าเป็นการอาบน้ำที่สิ้นเปลืองมากทั้งเวลา น้ำ สบู่ แถมยังทำให้ร่างกายสกป. อีกด้วยเพราะ 1) การถูสบู่ทำให้ผิวหนังลื่น พอลื่นก็ไม่สามารถถูเอาขี้ไคลออกได้ เพราะผิวหนังไม่ฝืด 2) ตามหลักวิศวกรรมศาสตร์ เราต้องการแรงจากความฝืดเพื่อขูดลอกเอาสิ่งเกาะติดผิวออก และนั่นคือเหตุผลว่าทำไมเราจึงต้องใช้ฝอยขัดหม้อ เพื่อขัดเอาสิ่งเกาะติดออกจากหม้อ ส่วนการลงผงซักฟอกนั้นก็เพื่อเอาไขมันออก แต่ผิวหนังคนเรามันไม่ได้มันขนาดนั้น จึงไม่มีความจำเป็นอะไรเลยที่จะต้องไปลงสบู่ให้สิ้นเปลือง (ยกเว้นโง่หลงเชื่อคำโฆษณาโกหกของบริษัทผู้ผลิตต่างชาติ...ซึ่งมีเพียงสองสามบริษัทแต่ผลิตสินค้ามา ๒๐ ชนิด โดยใช้ยี่ห้อต่างกัน ...แม้แต่ "นกถ้วย" ..ที่เราหลงนึกว่าเป็นของไทย) 2) การลงสบู่นั้น นอกจากทำให้ถูขี้ไคลได้ไม่เกลี้ยงแล้ว ยิ่งทำให้ต้องเสียเวลา และเสียน้ำในการล้างเอาสบู่ออก แต่รับรองว่าล้างอย่างไรก็ออกไม่หมดหรอก เพราะมีโมเลกุลสบู่เกาะฝังอยู่ในรูขุมขน ทำให้รูขุมขนอุดตัน ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพผิวหนังเลย เพราะไปอุดรูระบายความร้อนของร่างกาย อาจทำให้เกิดการระคายเคือง จนเกิดสิว ไฝ ฝ้า ได้...ยิ่งทุกวันทุกเดือนที่สะสมเข้าไปก็ยิ่งอุดแน่น แบบขี้ฟันอุดในร่องฟันยังไงยังงั้น 3) ดังนั้นวิธีการที่ดีกว่าและประหยัดกว่าในการอาบน้ำคือ ไม่ต้องใช้สบู่ อีกทั้งเพิ่มความฝืดในการถูขี้ไคล ด้วยการใช้ผ้าขนหนูผืนเล็ก กับน้ำสองขัน ซึ่งผมได้เขียนไว้แล้ว ถ้าจะให้ดีขึ้นคือในการชโลมตัวให้เปียกในครั้งแรกนั้น ให้ใช้วิธีเอาผ้าชุบน้ำสะอาดให้เปียกโชกๆ คลุมหัวไว้ ให้น้ำอุ่นไหลไปชโลมหัว บ่า ลำตัว เอามือลูบน้ำให้เปียกทั่วร่างกาย จากนั้นใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์สักสองนาที เช่น แปรงฟัน หรือ ขัดถูบริเวณสกป.มากๆ เช่น ฝ่าเท้า ที่ต้องสองนาทีเพราะต้องการ “หมัก” ขี้ไคลให้เปื่อย จะทำให้ถูขี้ไคลออกได้ง่าย และสะอาดกว่าปกติ เวลาหมักขี้ไคลสองนาทีนั้น ถ้าหาอะไรทำไม่ได้จริงๆ ให้ออกกำลังกาย ด้วยการถ่างขาออก ย่อขาลง ค้างไว้ เอามือทั้งสองดันคาง หรือ อ้อมไปดึงท้ายทอย ก็ได้ ถ้าเมื่อยก็ยกตัวขึ้นลงได้ จะเป็นการออกกำลังกายทุกส่วนของร่างกายไปในตัว ขาหลัง แขน คอ พอหมักไว้สักสองนาทีจากนั้นก็ทำเปียกร่างกายด้วยผ้าชุบน้ำโชกอีกครั้ง แล้วทำการถูด้วยผ้าและหรือมือเปล่าแบบแรงๆ แบบแกล้งผิวหนัง (ด้วยความฝืด) จะรู้สึกได้ว่าขี้ไคลออกมาเป็นปื้นๆ เลย สำหรับผมที่หมักน้ำไว้ดีแล้ว ก็สามารถเอาปลายนิ้วขยี้ลงไปบนผิวหนังหัวได้เลย เพื่อเอารังแคออก โดยไม่ต้องมีแชมพูให้ยุ่งยาก การขยี้แรงๆ มีความฝืด จะเป็นการนวดผิวหนังหัวได้ดี เป็นการออกกำลังหนังหัวและรากเส้นผมไปด้วยในตัว ถ้ามีจริตว่าอย่างไรเสียก็ต้องอาบน้ำไหลเป็นครั้งสุดท้ายก็อาจทำได้ด้วยการเปิดฝักบัวอาบสัก 20 วิ ก็พอแล้ว ก็ประหยัดน้ำ เวลา ได้มหาศาล อีกวิธีคือ เอาขวดน้ำดื่มขนาด 1.5 ลิตร ที่ตัดก้นออกไปผูกเชือกห้อยไว้กับตะขอที่เพดาน (วิธีผูกเชือกห้อยขวดในแนวดิ่งทำได้ไม่ยาก) เจาะรูฝักบัวที่จุกขวดด้วยตะปู ขนาดสัก 4 รูเล็กๆ เอาน้ำอุ่นเทลงไป ให้น้ำไหลเป็นฝอยเล็กๆ ออกจากรูเจาะ แล้วไปยืนให้น้ำรดหัวในแนวดิ่ง น้ำที่หยดรดหัวจะไหลลงมารดหน้า บ่า และลำตัวเพื่อล้างตัวให้สะอาด แบบประหยัดน้ำมาก โดยไม่จำเป็นต้องใช้น้ำแบบสาดเสียเทเสียเกินจำเป็นไปสิบเท่าแบบการใช้ฝักบัวฉีดน้ำในแนวเฉียงเข้าหาใบหน้า สำหรับหน้าหนาวในชนบทห่างไกล ประชาชนยากไร้ ไม่มีน้ำฝักบัวร้อนๆ การอาบน้ำวิธีนี้จะช่วยได้มาก เพราะทำน้ำอุ่นด้วยไฟเพียงนิดเดียว หรือแม้ใช้น้ำเย็นไปเลยก็ไม่ทำให้หนาวมากนัก เพราะไม่ได้ใช้น้ำราดโดยตรง เป็นเพียงน้ำหมาดจากผ้าหมาดเท่านั้น

รวมเคล็ดลับ สูตรขัดผิวอย่างไร ให้ขาวเนียน!?

รวมเคล็ดลับ สูตรขัดผิวอย่างไร ให้ขาวเนียน!?



ผิวที่สวยใส ขาวเนียน มีสุขภาพที่ดี คือ หนึ่งในสุดยอดแห่งความปารถนาของคุณสาวๆ โดยเฉพาะคุณสาวๆ ที่ชื่นชอบการแต่งตัว ไม่ว่าจะแต่งตัวอย่างไร สไตล์ไหน หรืออวดผิวกายมากเพียงใด การที่มีผิวขาวสวยก็ช่วยให้คุณสาวๆ สามารถที่จะแต่งตัวได้อย่างมั่นใจ แถมยังทำให้คุณหนุ่มๆ ต้องมองตามนั้นชนิดไม่วางตากันเลยทีเดียว
  สำหรับวิธีการช่วยทำให้ผิวขาวนั้นก็มีอยู่หลายวิธี แต่วิธีที่ได้รับความนิยม ซึ่งสามารถทำได้อย่างง่ายๆ ด้วยตัวคุณสาวๆ เอง คือ การขัดผิวขาว ซึ่งเป็นการผลัดเซลล์ผิวเก่าที่หมองคล้ำ ทำให้เซลล์ผิวใหม่ที่ขึ้นมาแทนที่ มีความขาวเนียน และมีสุขภาพที่ดีมากกว่าเดิม สำหรับในวันนี้ จะขอพาคุณสาวๆ ไปรู้จักกับสูตรในการขัดผิวให้ขาวที่ได้ทำการรวบรวมมา ด้วยวัตถุดิบที่สามารถหาได้อย่างง่ายๆ ใกล้ตัว ในราคาประหยัด

สูตรขัดผิวให้ขาวเนียน


ตรขัดผิวขาว ที่กำลังจะนำเสนอต่อไปนี้ เป็นสูตรที่เหมาะสำหรับการขัดผิวกายเท่านั้น ไม่ควรที่จะนำไปใช้ในการขัดและพอกผิวหน้าโดยเด็ดขาด เนื่องจากบางสูตรมีส่วนผสมที่มีฤทธิ์เป็นกรด ซึ่งถึงแม้ช่วยในการผลัดเซลล์ผิว แต่ก็ไม่เหมาะกับผิวของใบหน้าที่มีความบอบบาง ถ้าหากต้องการที่จะทำการขัดผิวหน้า ขอแนะนำให้เลือกใช้สูตรที่เหมาะสำหรับผิวหน้าโดยเฉพาะ เอาล่ะ… ทีนี้มารู้จักกับสูตรการขัดผิวให้ขาวอย่างง่ายๆ ได้ด้วยตัวคุณสาวๆ เองกันดีกว่า


1. สูตรรวมมิตร นำมะขามเปียก 1 กำมือ น้ำมะนาว 1 ลูก โยเกิร์ตรสธรรมชาติ 6 ช้อนชา น้ำผึ้งหนึ่งช้อนโต๊ะ ผงขัดตัว 5-6 ช้อนชา น้ำมันมะกอก 1 ช้อนชา ทำการผสมให้เข้าเป็นเนื้อเดียวกัน จากนั้นให้นำส่วนผสมที่ได้มาทำการขัดผิว แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด



   2. สูตรน้ำมันมะกอก+น้ำมะนาว นำน้ำมันมะกอก น้ำมะนาว และเกลือเม็ดหยาบ มาผสมให้เข้าเป็นเนื้อเดียวกัน จากนั้นให้นำส่วนผสมที่ได้มาทำการขัดผิว แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด

   3. สูตรมะเขือเทศ+น้ำตาลทราย ฝานมะเขือเทศให้เป็นแผ่นบางๆ จากนั้นนำไปจุ่มในน้ำตาลทราย แล้วนำไปขัดให้ทั่วตัว จนกระทั่งน้ำตาลที่หุ้มแผ่นมะเขือเทศละลายออกไปจนหมด แล้วเปลี่ยนมะเขือเทศแผ่นใหม่ ทิ้งเอาไว้ประมาณ 10 นาที แล้วล้างออก
   
   4. สูตรมะขามเปียก+นม และน้ำผึ้ง นำมะขามเปียก นม และน้ำผึ้ง ผสมให้เป็นเนื้อเดียวกัน แล้วนำไปขัดผิว จากนั้นให้ล้างออกด้วยน้ำสะอาด

  5. สูตรมะละกอสุก+โยเกิร์ต นำมะละกอ โยเกิร์ต และเกลือทะเล ปั่นรวมกันให้ละเอียด แล้วนำส่วนผสมที่ได้มานวดที่ผิวเบาๆ แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด

  6. สูตรน้ำนมจืด ชโลมน้ำนมให้ทั่วผิว เมื่อผิวแห้งแล้วให้ใช้ใยบวบขัดผิว จากนั้นล้างออกด้วยน้ำสะอาด

  7. ใยบวบ หรือใยขัดธรรมชาติ เป็นอุปกรณ์ที่ช่วยในการขัดผิวที่ประสิทธิภาพมาก เพียงแค่ขัดเบาๆ เวลาอาบน้ำก็จะช่วยกำจัดเซลล์ผิวหนังที่ตายออกไปได้เป็นอย่างดี แต่ไม่ควรออกแรงขัดมากจนเกินไป เพราะอาจจะทำให้รู้สึกแสบที่ผิวได้ เนื่องจากเส้นใยมีลักษณะที่สาก และหยาบ

  8. สูตรขมิ้น นำขมิ้นสดไปขูดกับที่ขูดขมิ้นจนละเอียด จากนั้นให้นำขมิ้นที่ได้ไปทำการขัดผิวได้เลย หรือถ้าต้องการประสิทธิภาพในการบำรุงผิวที่มากยิ่งขึ้น สามารถนำไปผสมกับส่วนประกอบอื่นๆ เช่น นมสด ดินสอพอง มะนาว มะขามเปียก เป็นต้น โดยผสมกับขมิ้นเพียงเล็กน้อย แล้วคลุกเคล้าให้เข้ากันก่อนนำไปขัดที่ผิว

  9. สูตรว่านนางคำ นำว่านนางคำ 100 กรัม ว่านไพร 25 กรัม ขมิ้น 25 กรัม มาหั้นให้เป็นชิ้นบางๆ ตากแดดให้แห้งแล้วบดให้ละเอียด จากนั้นนำดินสอพองบดละเอียด 1000 กรัม ลิ้นทะเล 200 กรัม และสารส้มสะตุ 200 กรัม นำส่วนผสมทั้งหมดมาคนให้รวมเป็นเนื้อเดียวกัน แล้วนำไปใส่กระชอนร่อนให้ละเอียด แล้วนำผงที่ได้จากการร่อนนำไปขัดผิว10. สูตรกากกาแฟ นำกากกาแฟที่ใช้แล้ว 1 ถ้วยตวง มาผสมเข้ากับผงขมิ้นชัน 1 กรัม และมะขามเปียกที่คั้นเอาน้ำแล้วประมาณ ½ ถ้วยตวง เป็นเนื้อเดียวกัน แล้วนำไป
ขัดผิวประมาณ 15 นาที แล้วล้างออก โดยที่ไม่ต้องถูสบู่

 10. สูตรกากกาแฟ นำกากกาแฟที่ใช้แล้ว 1 ถ้วยตวง มาผสมเข้ากับผงขมิ้นชัน 1 กรัม และมะขามเปียกที่คั้นเอาน้ำแล้วประมาณ ½ ถ้วยตวง เป็นเนื้อเดียวกัน แล้วนำไปขัดผิวประมาณ 15 นาที แล้วล้างออก โดยที่ไม่ต้องถูสบู่

 11. สูตรมันฝรั่ง นำมันฝรั่งดิบมาขูดแล้วนำไปห่อด้วยผ้าขาวบาง จากนั้นใช้ผ้าขาวบางดังกล่าวขัดไปตามร่างกายในขณะที่ทำการอาบน้ำ มันฝรั่งจะช่วยทำให้ผิวอ่อนนุ่ม และกระจ่างขาวใสขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ

  12. สูตรนมผง นำนมผงประมาณ 1 ถ้วยตวง ใส่ลงในถุงผ้า แล้วค่อยๆใช้ถุงผ้าขัดไปตามร่างกาย น้ำนมจะค่อยๆไหลออกมาเคลือบผิว ซึ่งโปรตีนในนมจะช่วยกระชับผิวและทำให้ผิวขาวเนียนมากยิ่งขึ้น หรือถ้าหากอาบน้ำฝักบัว ให้นำนมผงไปผสมกับน้ำเล็กน้อยจนกลายเป็นแป้งเหนียว นำมาทาไปบนร่างกายให้ทั่ว ทิ้งเอาไว้ประมาณ 15 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด

  13. สูตรแตงกวา นำแตงกวาไปปั่นแล้วเอาน้ำออก ให้เหลือเพียงเนื้อแตงกว่า 1 ถ้วย ผสมเข้ากับโยเกิร์ตรสธรรมชาติ 1 ช้อนโต๊ะ น้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ จมูกข้าวสาลี 2 ช้อนโต๊ะ และเมล็ดงา 1 ช้อนชา ให้เข้าเป็นเนื้อเดียวกัน จากนั้นนำไปขัดผิว แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น

  14. สูตรแป้งข้าวจ้าว นำแป้งข้าวจ้าว 1 ช้อนโต๊ะ ผสมเข้ากับผงขมิ้นชัน 1 หยิบมือ และนมจืด 2 ช้อนโต๊ะ ให้เป็นเนื้อเดียวกันแล้วนำไปถูตัวแทนสบู่15. สูตรผลไม้ขัดผิว สามารถเลือกนำผลไม้ที่มีฤทธิ์เป็นกรด และช่วยปรับสภาพผิวให้ขาวเรียบเนียนขึ้นมาใช้ในการขัดตัว อาทิเช่น สัปปะรด มะละกอ มะม่วง องุ่น ส้ม พีช สตอเบอร์รี่ เป็นต้น โดยน้ำผลไม้เหล่านี้มาฝานให้เป็นแผ่นบางๆ และนำไปขัดตัวได้เลย การขัดผิวขาวที่ดี ทำอย่างไร การขัดผิวให้ขาวสะอาด ควรทำด้วยความนุ่มนวล และไม่ควรทำบ่อยจนเกินไป เพราะจะทำให้ผิวบอบบางลง จนไม่สามารถทนต่อแสงแดดที่รุนแรงได้ นอกจากนี้ยังอาจทำให้ผิวหยาบกร้านได้ง่ายขึ้น โดยปกติแล้วผิวหนังจะมีการผลิตเซลล์ผิวเป็นประจำทุก 2-4 สัปดาห์ แต่เมื่ออายุมมากกว่า 20 ปี ขึ้นไป การผลัดเซลล์ผิวจะค่อยๆ ช้าลง การขัดเซลล์ผิวจะช่วยทำให้ผิวขาวกระจ่างใส แต่ไม่ควรทำการขัดผิวเป็นประจำทุกวัน ความถี่ในการขัดผิวกายที่เหมาะสมอยู่ที่ประมาณ 2 ครั้ง ต่อเดือน โดยการขัดผิวกายนั้น ให้ทำการขัดเป็นวงกลมอย่างเบามือ และหลังจากที่ทำการขัดผิวเสร็จแล้ว ควรหามอนส์เจอไรเซอร์มาทาที่ผิวเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว

วันพุธที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2558

แพงพวยฝรั่ง งามอย่างเรียบง่ายและมีคุณค่า

แพงพวยฝรั่ง งามอย่างเรียบง่ายและมีคุณค่า




แพงพวยฝรั่ง งามอย่างเรียบง่ายและมีคุณค่า
กิจวัตรปกติประจำสัปดาห์ของผู้เขียน ก็คือ เช้าวันจันทร์ออกเดินทางจากบ้านที่บางกรวยมาจังหวัดสุพรรณบุรี โดยรถโดยสาร (ปรับอากาศ) ประจำทาง ผู้เขียนจึงคุ้นเคยกับสถานีขนส่งสุพรรณบุรีเป็นอย่างยิ่งโดยเฉพาะต้นไม้ต่างๆ ที่ปลูกอยู่ด้านหน้า-หลัง และด้านข้างของสถานีฯ ต้นไม้ดอกส่วนใหญ่ผู้เขียนเคยนำเสนอในคอลัมน์นี้ไปแล้ว แพงพวยฝรั่ง : คล้ายแพงพวยไทย แต่ไม่ใช่พี่น้องกัน แพงพวยฝรั่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Catharanthus roseus G.Don (บางตำราใช้ Vinca rosea Linn.) อยู่ในวงศ์ Apocynaceae เป็นไม้ล้มลุกเนื้ออ่อน พุ่มเตี้ย สูงไม่เกิน ๙๐ เซนติเมตร มีกิ่งก้านสาขามาก ใบเป็นชนิดใบเดี่ยวออกเป็นคู่ๆ ตรงข้ามกัน ใบหนาแข็ง รูปไข่ สีเขียวเข้ม ขอบใบเรียบ ปลายใบมน โคนใบแหลมหรือมน เส้นกลางใบสีเขียวอ่อน หรือเหลืองเห็นได้ชัดเจน ใบกว้าง ๒-๓ ซม. ยาว ๔-๕ ซม. ใบดก ดอก ออกเป็นกลุ่มตามส่วนปลายกิ่ง แต่ละกลุ่มมีดอกราว ๓-๔ ดอก เป็นดอกกลีบชั้นเดียว มีกลีบ ๕ กลีบ แยกจากกัน กลีบดอกมี ๒ สี คือ สีขาวและสีชมพู พันธุ์ดอกสีขาว ตรงกลางดอกมีสีเหลือง ส่วนพันธุ์ดอกสีชมพู ตรงกลางดอกมีสีแดง ดอกบานเต็มที่เส้นผ่าศูนย์กลางราว ๔ ซม. เมื่อติดฝักเป็นรูปทรงกระบอก เมื่อแก่จัดจะแตกออกเป็น ๒ ซีก มีเมล็ดขนาดเล็กมากมาย แพงพวยฝรั่งมีถิ่นกำเนิดในทวีปอเมริกากลาง แล้วแพร่ไปสู่ทวีปยุโรปในปี ค.ศ. ๑๗๕๗ (พ.ศ. ๒๓๐๐) สันนิษฐานว่ามีผู้นำเข้ามาปลูกในประเทศไทยช่วงหลัง พ.ศ. ๒๔๑๖ เพราะในหนังสืออักขราภิธานศรับท์ (พ.ศ. ๒๔๑๖) ไม่มีการบันทึกชื่อแพงพวยฝรั่งเอาไว้ มีแต่คำว่า แพงพวย ซึ่งเป็นพืชพื้นบ้านของไทย ดังนี้
 
  แพงพวย : เป็นชื่อต้นผักอย่างหนึ่ง เป็นผักเกิดในน้ำ ต้นมันมีนม เลื้อยไปตามผิวน้ำ ความจริงแพงพวย ซึ่งเป็นพืชพื้นบ้านดั้งเดิมของไทยนั้น มีรูปร่างใบและดอกคล้ายคลึงกับแพงพวยฝรั่ง แต่เป็นพืชที่อยู่คนละวงศ์ คือ แพงพวย อยู่ในวงศ์ Onagraceae เป็นพืชทอดเลื้อยอยู่ในน้ำ และมีทุ่นสีขาวคล้ายสำลีเป็นเครื่องช่วยพยุงให้ลอยน้ำได้ (เรียกว่านม) คนไทยนิยมเก็บมากินเป็นผัก ส่วนแพงพวยฝรั่ง เป็นไม้พุ่มบนบก ใช้เป็นผักไม่ได้ แต่ใช้เป็นไม้ดอกไม้ประดับ ที่รู้จักกันทั่วโลก แพงพวยฝรั่ง มีชื่ออังกฤษว่า MADAGASCA PERIWINKLE หรือ ROSE PERIWINKLE ชื่อภาษาไทย คือ แพงพวยฝรั่ง แพงพวยบก พังพวยฝรั่ง พังพวยบก นมอินทร์ (สุราษฎร์ธานี) ผักปอดบก

ประโยชน์ของแพงพวยฝรั่ง แพงพวยฝรั่งเป็นที่รู้จักแพร่หลายทั่วโลกในฐานะไม้ดอก ไม้ประดับที่งดงาม ทนทาน ออกดอกตลอดปี ขึ้นได้ในดินแทบทุกชนิด ทนโรคแมลงได้ดี ปลูกง่าย โตเร็ว ปลูกเป็นไม้กระถางก็งดงามเช่นเดียวกับปลูกเป็นแปลงหรือตามริมทางเท้าในสวนสาธารณะ ฯลฯ ทนแห้งแล้งได้ดี จัดเป็นไม้ดอกที่ปลูกง่าย ดูแลง่าย ตายยากที่สุดชนิดหนึ่ง ดอกแพงพวยฝรั่ง มีความงดงามแบบเรียบง่าย สดใส เป็นสากล ดูไม่เบื่อง่าย เหมือนดอกไม้บางชนิดที่งามแบบฉูดฉาด หรือแปลกประหลาด

  แพงพวยฝรั่งยังมีคุณสมบัติทางยา รักษาโรคอีกด้วย
เช่น โรคเบาหวาน และโรคมะเร็ง เป็นพืชที่มีผู้ศึกษาคุณสมบัติในการรักษาโรคมะเร็งมากที่สุดชนิดหนึ่งในปัจจุบัน ในอนาคตหากมีการผสมพันธุ์ให้แพงพวยฝรั่ง มีสีดอกมากยิ่งขึ้นหรือมีกลีบ รูปร่างแปลกออกไป (เช่น ซ้อน หรือยาวขึ้น ฯลฯ) คนไทยก็อาจนิยมปลูกแพงพวยฝรั่งมากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน หรือบางทีแพงพวยฝรั่งอาจจะมีรูปร่างดอกและสีที่สมบูรณ์แบบอยู่แล้ว แต่ขาดชื่อที่ไพเราะเหมาะสมกับความงามก็ได้ หากเป็นเช่นนั้นจริง การหาชื่อที่ไพเราะเหมาะสมใหม่ให้กับแพงพวยฝรั่ง ก็อาจเพียงพอแล้วยังเหลืออีกชนิดหนึ่งที่ยังไม่เคยนำเสนอ นั่นคือ ต้นแพงพวยฝรั่ง

แก้ปวดฟัน ด้วยวิธีธรรมชาติ

แก้ปวดฟัน ด้วยวิธีธรรมชาติ






คุณคงเป็นคนหนึ่งที่ยอมยกธงขาวให้อาการปวดฟัน ซึ่งหลายคนลงความเห็นว่าเป็นที่สุดของความทรมานใช่ไหมคะ เพราะไหนจะมีอาการปวดแปลบ ปวดตุบๆ หรือปวดรุนแรงคอยกวนใจอยู่ตลอดเวลา

ทำอย่างไรก็ไม่หายสักที กินยาแก้ปวดก็แล้ว ทายาก็แล้ว โดยเฉพาะหลังจากการเคี้ยวอาหารมื้ออร่อยหรือขนมขบเคี้ยวไปแล้วประมาณ 20 นาที จนต้องรีบบึ่งไปหาหมอฟัน เปลืองทั้งเงินเจ็บทั้งตัว ถ้าคุณเบื่อการกินยาแก้ปวด และไม่อยากไปหาหมอฟันแล้วละก็ ชีวจิตมีวิธีแนะนำให้คุณเป็นหมอรักษาตัวเองด้วยวิธีง่าย ๆ ค่ะ


อะไรทำให้ปวดฟัน

 อาการปวดฟัน (toothache) ส่วนใหญ่มีผลมาจากฟันผุ ซึ่งในระยะเริ่มแรกจะมีลักษณะเสียวฟัน ก่อนที่อาการปวดจะลามไปที่บริเวณใต้คางและศีรษะต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อกินของเย็น ของร้อน หรือของหวาน เพราะจะเป็นการกระตุ้นให้แบคทีเรียที่อาศัยอยู่ในช่องปาก ปล่อยกรดออกมาทำลายเคลือบฟัน และชอนไชเข้าไปจนถึงเนื้อเยื่อส่วนที่นิ่มภายใน ซึ่งมีเส้นเลือดฝอยจำนวนมาก บวกกับในโพรงประสาทฟันมีเนื้อที่จำกัด จึงทำให้เกิดการอักเสบและบวม

เมื่อเกิดอาการบวมจะทำให้เส้นประสาทถูกกด รวมทั้งเกิดการปิดกั้นช่องทางเปิดปลายรากฟัน ทำให้เลือดไหลเวียนไม่สะดวก จึงไม่สามารถนำออกซิเจนมาเลี้ยงฟันได้ จนทำให้เกิดอาการปวดฟันที่รุนแรง และในที่สุดเนื้อฟันก็จะตาย เมื่อถึงตอนนั้นอาการปวดจะหายไป อย่างไรก็ตาม ถ้าเป็นหนองบริเวณปลายรากฟันอาการปวดอาจกลับมาอีก แต่ลักษณะการปวดจะเป็นแบบตื้อ ๆ และสามารถระบุตำแหน่งได้ชัดเจนขึ้น นอกจากนี้อาการปวดฟันอาจเกิดจากวัสดุอุดฟันหลุดไป ฟันร้าวหรือแตกจนถึงชั้นเนื้อฟันและโพรงประสาทฟัน การนอนกัดฟัน (bruxism) ปวดเนื่องจากมีฟันคุดและเหงือกอักเสบ (gingivitis) ซึ่งจะทำให้เหงือกร่นและรากฟันบางส่วนโผล่ขึ้นมาส่งผลให้เกิดอาการเสียวฟันและปวดฟันได้ แต่บางคนที่มีสุขภาพฟันดีก็อาจมีความไวมากเป็นพิเศษต่อของร้อนหรือของเย็นได้


วิธีลดอาการปวดฟัน

ถ้าคุณอยากหายทรมานจากอาการปวดฟันแล้วละก็ ลองปฏิบัติตามคำแนะนำง่าย ๆ ต่อไปนี้ดูสิคะ

 1.เมื่อมีอาการปวดฟัน ให้ประคบด้านข้างของใบหน้าซีกที่ปวดฟันด้วยน้ำอุ่น

 2.ในกรณีที่อาการปวดฟันมีลักษณะปวดตุบ ๆ ซึ่งอาจเกิดจากการติดเชื้อ ให้ประคบที่ด้านข้างของใบหน้าด้วยน้ำแข็งประมาณ 5-10 นาที ทุก ๆ ครึ่งชั่วโมง ความเย็นจะช่วยลดปวดและลดบวม

 3.ถ้ามีอาการเสียวฟันง่าย ให้ใช้โซดาไฟหรือแปรงฟันด้วยยาสีฟันสูตรสำหรับแก้เสียวฟัน

 4.เมื่อต้องอยู่ในที่ที่อากาศเย็นหรือในช่วงฤดูหนาว สามารถป้องกันอาการเสียวฟัน หรืออาการปวดฟันจากอากาศเย็นได้โดยปิดปากด้วยผ้าพันคอ

 5.เลี่ยงอาหารที่ร้อนจัด เย็นจัด และหวานจัด โดยเฉพาะชา กาแฟ และไอศกรีม เพราะจะยิ่งกระตุ้นให้มีอาการงดอาหารที่แข็งจนต้องใช้วิธีกัดกิน เช่น แครอท แอปเปิ้ล ฝรั่งที่ยังไม่สุก เพราะการขบกัดฟันแรง ๆ กับวัตถุแข็ง ๆ จะกระตุ้นให้เกิดอาการปวดฟัน และในกรณีที่อุดฟันควรหลีกเลี่ยงการเคี้ยวหมากฝรั่ง เพราะจะทำให้สารที่อุดฟันไว้หลุดออกมาง่ายขึ้น

นวดกดจุดลดอาการปวด
 หลายคนคงค้นเคยกับการนวดกดจุดตามร่างกาย ทั้งฝ่าเท้า ฝ่ามือ และศีรษะดีแล้วใช่ไหมคะ คราวนี้เราลองมานวดกดจุดเพื่อบรรเทาอาการปวดฟันกันดีกว่า


 1.นวดคลึงเบา ๆ ที่แก้มเหนือบริเวณฟันที่ปวด จะช่วยบรรเทาอาการปวดได้ชั่วคราว

 2.ใช้น้ำแข็งก้อนเล็ก ๆ กดและถูบริเวณง่ามมือ ระหว่างนิ้วหัวแม่มือกับนิ้วชี้ หรือใช้มืออีกข้างนวดบริเวณเดียวกันนี้ จะช่วยลดอาการปวดฟันได้ชั่วคราว

 3.สำหรับคนที่ปวดบริเวณกรามล่าง ให้ใช้นิ้วหัวแม่มือนวดบริเวณกระดูกขากรรไกรที่รองรับฟันล่าง ส่วนคนที่ปวดบริเวณกรามบนให้วางนิ้วหัวแม่มือ ตรงบริเวณส่วนกลางของหู แล้วลากนิ้วไปทางด้านหน้า จนกระทั่งถึงรอยบุ๋มใต้กระดูกประมาณหนึ่งนิ้วบริเวณหน้าใบหู จากนั้นกดแรง ๆ ประมาณ 10 นาที

สมุนไพรบรรเทาปวด บางคนพึ่งยาสารพัดชนิด ทั้งกินทั้งทา แต่พอหมดฤทธิ์ยาแล้ว อาการปวดฟันก็กลับมาสำแดงเดชอีกครั้ง ลองมาสอบอาการปวดด้วยฤทธิ์ยาทางธรรมชาติของสมุนไพรเหล่านี้ดีกว่าค่ะ ว่านหางจระเข้ มีสรรพคุณในการทำลายเชื้อโรคและสลายพิษ (neutralization) ของเชื้อโรค โดยหั่นว่านหางจระเข้เป็นชิ้น ๆ ความยาวประมาณ 2-3 เซนติเมตร ล้างยางออกให้หมด เหน็บไว้ที่ซอกฟัน ใช้ฟันขบให้อยู่บริเวณที่ปวดหรือใช้ไม้พันสำลีจุ่มน้ำวุ้นว่านหางจระเข้ ป้ายตรงบริเวณที่ปวด จะช่วยบรรเทาอาการได้ชั่วคราว น้ำมันละหุ่ง ทาน้ำมันละหุ่งบริเวณแก้มข้างที่ปวดฟัน และใช้พลาสเตอร์ยาปิดไว้ แล้วใช้ผ้าขนหนูอุ่น ๆ หรือแผ่นประคบบริเวณที่มีอาการปวด จากนั้น นอนพักอย่างน้อย 20 นาที น้ำมันละหุ่งมีสรรพคุณในการระงับปวดได้ดี โดยจะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดที่ไปคั่งอยู่กับเชื้อจุลินทรีย์ในกรณีที่เกิดการติดเชื้อหรือกับสารที่ทำให้เกิดอาการปวด เช่นไซโทไคเนส (cytokines) ในกรณีที่ปวดรากฟัน น้ำมันกานพลู มีสรรพคุณในการรักษาอาการปวดฟันได้ดีที่สุดชนิดหนึ่ง บางครั้งหมอฟันจะใช้น้ำมันกานพลูแทนยาที่มีฤทธิ์แรงกว่า เช่น Novocain โดยทาน้ำมันกานพลูบริเวณที่ปวดในช่องปากได้โดยตรง (หากน้ำมันกานพลูเข้มข้นเกินไปอาจทำให้เจือจางด้วยการผสมน้ำมันมะกอก) นอกจากนี้อาจใช้วิธีอมกานพลูทั้งชิ้นไว้ในปากบริเวณที่ปวดก็ได้ จะทำให้รู้สึกชาอย่างรวดเร็ว และอยู่นานกว่า 90 นาที หรือนำดอกกานพลูมาทุบแช่น้ำเหล้าขาว แล้วชุบสำลีอุดฟันซี่ที่ปวด น้ำมันกระเทียม ใช้สำลีชุบน้ำมันกระเทียมทาบริเวณที่ปวดฟัน จะช่วยบรรเทาอาการปวดได้เหมือนกัน ดาวเรือง ใช้ดอกแห้งประมาณ 7-8 ดอก ต้มกับน้ำสะอาดในปริมาณที่พอเหมาะ ดื่มเป็นน้ำสมุนไพรทั้งวันเพื่อแก้อาการปวดฟัน ผักบุ้งนา นำรากสดของผักบุ้งนาประมาณ 10 กรัม ตำให้ละเอียดแล้วคั้นเอาแต่น้ำ ผสมกับน้ำส้มสายชู อมไว้ประมาณ 5 นาที แล้วบ้วนออกด้วยน้ำสะอาด มะระ นำรากสดของมะระมาตำพอแหลก แล้วพอกฟันซี่ที่ปวด โดยใช้ลิ้นกดไว้สักครู่ใหญ่ ๆ กุยช่าย ในกรณีที่ปวดฟันเพราะแมงกินฟัน ให้นำเมล็ดกุยช่ายมาคั่วให้เกรียมดำ จากนั้นนำมาบดให้ละเอียดละลายน้ำมันยางแล้วชุบสำลี ยัดในฟันที่เป็นรูโพรง ทิ้งไว้หนึ่งคืน จะสามารถฆ่าตัวแมงที่กินฟันได้ ถ้าไม่อยากไปหาหมอ คุณก็ต้องชิงเป็นหมอของตัวเอง ก่อนที่อาการปวดจะลุกลามเกินเยียวยาจนถึงขั้นต้องถอนฟันทิ้งนะคะ

 Tip 


 1.เมื่อใช้ยาสมุนไพรจนอาการปวดฟันบรรเทาแล้ว ควรไปพบทันตแพทย์

 2.ไม่ควรใช้ยาแอสไพรินบดอุดบริเวณฟันที่ปวด เพราะจะทำให้เกิดแผลไหม้ที่เหงือก และเป็นอันตรายต่อเคลือบฟันได้

 3.ถ้ามีอาการปวดบวมเมื่อเคี้ยวอาหาร หรือเหงือกแดงผิดปกติ มีเลือดออก แสดงว่าติดเชื้อ หรือถ้าปวดฟันและมีไข้ร่วมด้วย ควรรีบไปพบแพทย์ทันที


วันอังคารที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ใบมะยมแก้ปวดหัว

ใบมะยมแก้ปวดหัว


                                   ใบมะยม

 กับสูตรแก้ปวดหัว อาการปวดหัวมีหลายรูปแบบ แต่ที่จะพูดถึงในวันนี้คือ "ปวดหัว" ที่เกิดจากสาเหตุเพราะเครียด คิดมาก อดนอน หรือขาดการออกกำลังกาย ซึ่งอาการดังกล่าวเป็ฯแล้วจะทรมานมาก ทำให้อารมณ์ขุ่นมัว หงุดหงิดง่าย โมโหไปหมด บางครั้งปวดจนทนไม่ไหว ต้องกินยาคลายเครียด หรือยาแก้ปวดหนัวที่แพทย์จ่ายให้ จึงจะทุเลาและหายได้ ยิ่งในยุคข้ายากหมากแพงเช่นปัจจุบัน คนเป็นกันเยอะ เพราะรายรับกับรายจ่ายชักหน้าไม่ถึงหลัง ซึ่งอาการปวดหัวแบบนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ ถ้าปล่อยให้เป็นนาน ๆ ไม่ดีแน่ ผู้ป่วยที่เครียดจัด หรือปวดหัวหนัก ๆ อาจก่อเหตูที่ไม่คาดคิดก็ได้ ในส่วนของ "ใบมะยม" ใช้แก้อาการที่กล่าวข้างต้น มีวิธีรับประทานแบบง่ายคือ ให้เอาใบมะยมที่เป็นใบแก่รวมกัน 1 กำมือ ต้มน้ำสะอาดกะตามต้องการ ใส่น้ำตาลกรวดอย่าให้หวานนัก ต้มจนเดือดแล้วดื่มต่างน้ำขณะอุ่นครั้งละ 1 แก้ว เช้า-เย็น ก่อนหรือหลังอาหารก็ได้ และก่อนนอน ทำดื่มเรื่อย ๆ จะช่วยให้ อาการปวดหัวที่เกิดจากสาเหตุดังกล่าว ทุเลาลงและหายในที่สุด มะยม หรือ PHYLLANTHUS ACIDUS LINN. SKEELS อยู่ในวงศ์ EUPHORBIACEAE มีสรรพคุณเฉพาะ ใบ เป็นส่วนประกอบ ยาเขียว กินดับพิษร้อน ถอนพิษไข้ แก้ไข้ตัวร้อน ไข้หัวต่าง ๆ เปลือกต้น แก้ไข้ทับระดู ระดูทับไข้ ต้มน้ำ ดื่มแก้ไข้ เพื่อโลหิต ต้มอาบ แก้ผดผื่นคัน ราก แก้โรคผิวหนัง เม็ดผื่นคัน ประดง แก้น้ำเหลืองเสีย ผล กัดเสมหะ แก้ไอ บำรุงโลหิต ระบายท้อง ตำรวมกับพริกไทยพอกแก้ปวดกล้ามเนื้อ ปวดหลังเด็ดขาดนัก ใบมะยม ทางอาหาร ผลอ่อน รับประทานเป็นผักสด จิ้มน้ำพริก ลาบ ใส่แกงเลียง ผลแก่ ปรุงเป็นส้มตำแทนมะละกอ จิ้มเกลือพริกป่น ดองทำมะยม ทำแยม ทำแช่อิ่ม และมะยมหวาน นิยมรับประทานกันแพร่หลาย

สมุนไพร “ตะไคร้แกง” แก้ปวดท้องตอนมีประจำเดือน

สมุนไพร “ตะไคร้แกง” แก้ปวดท้องตอนมีประจำเดือน



ตะไคร้แกง สตรีที่ยังมีประจำเดือน อยู่ และมีอาการปวดท้องอย่างรุนแรงระหว่างช่วงดังกล่าวเป็นประจำ ทำงานทำการอะไรแทบไม่ได้ ในทางสมุนไพรมีวิธีช่วยบรรเทาได้ คือให้เอา ต้น “ตะไคร้แกง” แบบสดจำนวน 5 ต้น ล้างน้ำให้สะอาด ทุบให้แตกต้มกับน้ำ 1 ลิตร ใส่เกลือป่นลงไปเล็กน้อยจนเดือด ดื่มขณะปวดท้องตอนมีประจำเดือนครั้งละ 1 แก้ว 3 เวลา เช้า กลางวัน เย็น จะบรรเทาอาการปวดให้ลดลงและไม่ปวดได้ในที่สุด ตะไคร้แกง หรือ CYMBOPOGON CITRATUS (DC.EXNEES) STAPF. อยู่ในวงศ์ GRAMINAE สรรพคุณเฉพาะทั้งต้นเป็นยารักษาโรคหืด แก้ปวดท้อง ขับปัสสาวะ และแก้อหิวาตกโรค หัว รักษาเกลื้อน คั่วพอเหลืองชงน้ำร้อนดื่มแก้นิ่ว ท้องอืดเฟ้อ ใบสด ช่วยลดความดันโลหิต ราก แก้ท้องเสีย เป็นยาแก้ไข้เหนือ ต้น ขับลม เบื่ออาหาร แก้ผมแตกปลาย ครับ หนังสือ “สมุนไพรไม้ดอกไม้ประดับหายาก” เล่มที่ 5 ของ “นายเกษตร” ไม่วางขายที่ไหนหมดแล้วหมดเลย ราคาเล่มละ 600 บาท บวกค่าส่งกลับเล่มละ 30 บาท ส่งธนาณัติซื้อสั่งจ่าย “คุณนงลักษณ์ ศรีอัชรานนท์” ตู้ ปณ.48 ปณ.สามแยกลาดพร้าว กทม. 10901 หรือสอบถามผลิตภัณฑ์สมุนไพร กระเทียมโทนสูตรแก้หอบหืด แก้ไอ แก้ถุงลมโป่งพอง, ยาบำรุงไตแคปซูล มีส่วนประกอบของสมุนไพรหลายชนิดไม่ใช่รักษาไต, น้ำมันสมุนไพร ทาบรรเทาการปวดข้อจากโรครูมาตอยด์, ครีมโลดทนง รักษาสิวฝ้า รูขุมขนตีบลง, ครีมทูอินวัน สำหรับคนเป็นสิวฝ้าน้อยและใบหน้าหมองคล้ำ, ยาต้มคลายเส้นไม้เท้าเฒ่าอาลี แก้ปวดเมื่อยแก้เกาต์ ลดเบาหวาน บำรุงกำลัง บำรุงไต, คอลลาเจนบริสุทธิ์ เป็นผงทาหน้าช่วยให้ใบหน้ากระชับ, ตรีผลาแคปซูล ลดไขมันในเส้นเลือด ลดไตรกลีเซอไรด์, ดีบัวแคปซูล ช่วยขยายหลอดเลือดไปเลี้ยงสมองและหัวใจ, โทนเนอร์เช็ดหน้า ลดการอักเสบของรูขุมขนก่อนแต่งหน้า, เซรั่มสกัดจากธัญพืช บำรุงผิวหน้าและอื่นๆ โทร.0–2275–2692 ครับ.

วันจันทร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2558

สมุนไพรลดน้ำหนัก สมุนไพรลดความอ้วน ทำให้ผอมเร่งด่วน ได้จริง

สมุนไพรลดน้ำหนัก สมุนไพรลดความอ้วน ทำให้ผอมเร่งด่วน ได้จริง



แน่นอนว่า การกินอาหารในปริมาณมาก จะทำให้เกิดน้ำหนักตัวที่เกินกำหนด ในบางรายชอบกินอาหารที่มีไขมัน แป้ง และน้ำตาล โดยกินในปริมาณมาก ยิ่งทำให้น้ำหนักตัวเกินพิกัด จนกลายเป็นโรคอ้วน .. ทางออกที่ดี ก็คือ กินข้าวให้น้อยลง ลดเนื้อสัตว์ ลดแป้ง ลดน้ำตาล ให้อยู่ในระดับที่ไม่เกินไป ให้มีระดับแคลอรี่ ที่เหมาะสมกับการเผาผลาญในร่างกาย ที่ร่างกายสามารถเผาผลาญออกไปหมดเองได้แต่จะทำได้ไหม หรือให้กินแค่ผักผลไม้ลดความอ้วน ทดแทน ก็คงเป็นเรื่องยากเช่นเดียวกัน หากเป็นเช่นนั้นแล้ว ควรใช้ตัวช่วยกันบ้าง ทั้งการออกกำลังกาย และใช้อาหารเสริม แต่เป็นอาหารเสริมที่ไม่ใช่ยาลดความอ้วนนะคะ เพราะหากเป็นยาลดความอ้วน จะลดได้จริง แต่รับรองว่า โยโย่ หลังจากที่เลิกทานยาแน่นอน


คือ สมุนไพรลดน้ำหนัก ที่ได้ผลจริง แล้วก็เป็นอื่นไปไม่ได้นอกจาก สมุนไพรลดน้ำหนักไทย พื้นบ้านของเรานี่แหละ ที่สามารถหาได้ง่ายตามท้องตลาด แล้วหยิบเอามาใช้ได้อย่างง่ายๆเช่นเดียวกันซึ่งสมุนไพรนั้น ก็มีมากมาย ขอยกตัวอย่าง คือ เม็ดแมงลัก ช่วยดูดซึมน้ำเอาไว้ ทำให้ร่างกายอิ่ม แล้วไม่อยากอาหาร สามารถทานได้ระหว่างวัน โดยต้องให้อุ้มน้ำมากพอในการพองตัวด้วย หรือจะเป็น บุก ก็ทำให้อิ่มได้เช่นเดียวกัน, สารสกัดจากตะบองเพชร ที่ทำให้ร่างกายอิ่ม และรับประทานอาหารได้น้อยลง ซึ่งถ้าหาก หารับประทานเองไม่ได้ ก็แนะนำว่า จะเป็นสารสกัด ที่เป็นอาหารเสริม สกัดจากธรรมชาติก็ได้ ที่บรรจุขายเป็นกล่องเอาไว้ เพื่อให้ง่ายแก่การนำใช้ และการกิน ก็สามารถทำได้ง่ายๆ เพราะสมุนไพรลดน้ำหนัก มีประโยชน์ หลายเรื่อง ลองเลือกใช้ให้เหมาะกับแต่ละคน

วิธีการนวดแผนโบราณขั้นพื้นฐาน "นวดคอ"

วิธีการนวดแผนโบราณขั้นพื้นฐาน "นวดคอ"



เรียนรู้และฝึกฝนด้วยตัวเองอย่างง่ายดายด้วย 10 ท่านวดคอขั้นพื้นฐาน ช่วยลดอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อคอ ลดอาการเคล็ดขัดยอกจากการนอนตกหมอน บรรเทาอาการปวดศีรษะ กระตุ้นการไหลเวียนของโหลิต ปรับสมดุลของฮอร์โมน กระตุ้นให้ระบบต่างๆ ทำงานได้อย่่างมีประสิทธิภาพและผ่อนคลายจากความเครียด



วิธีการนวดแผนโบราณขั้นพื้นฐาน-นวดคอ

 ท่าที่ 1 "บีบต้นคอ" ช่วยลดอาการปวดศีรษะ ลดอาการเคล็ดขัดยอกจากการนอนตกหมอน • วิธีการนวด ให้ผู้ถูกนวดนั่งบนพื้นหรือเก้าอี้ ผู้นวดยืนด้านหลังของผู้ถูกนวด ใช้มือซ้ายจับที่หัวไหล่ยึดไว้ แล้วใช้มือขวาวางที่ท้ายทอย บีบกล้ามเนื้อที่ท้ายทอยไล่ลงมาจนถึงต้นคอ โดยกดน้ำหนักทุกนิ้ว






วิธีการนวดแผนโบราณขั้นพื้นฐาน-นวดคอ

 ท่าที่ 2 "กดท้ายทอย" ช่วยลดอาการปวดศีรษะและปวดต้นคอ ลดอาการเคล็ดขัดยอกจากการนอนตกหมอน • วิธีการนวด ให้ผู้ถูกนวดนั่งบนพื้นหรือเก้าอี้ ผู้นวดยืนด้านหลังของผู้ถูกนวด ใช้มือซ้ายจับที่ขมับทั้งสองข้าง โดยอ้อมมือไปทางด้านหน้า แล้วใช้นิ้วหัวแม่มือขวาและนิ้วชี้ทำเป็นรูปตัววี (V) แล้วกดตรงที่เป็นรอยบุ๋มตรงกลางระหว่างท้ายทอยกับกระดูกคอชิ้นที่หนึ่ง ออกแรงกดทั้งนิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี


วิธีการนวดแผนโบราณขั้นพื้นฐาน-นวดคอ

 ท่าที่ 3 "กดต้นคอ" ช่วยลดอาการปวดศีรษะ ปวดต้นคอและลดอาการเคล็ดขัดยอกจากการนอนตกหมอน • วิธีการนวด ให้ผู้ถูกนวดนั่งบนพื้นหรือเก้าอี้ ผู้นวดยืนด้านหลังของผู้ถูกนวด ใช้มือทั้งสองจับที่คอของผู้ถูกนวด โดยนิ้วหัวแม่มือกดที่กล้ามเนื้อข้าง ๆ แนวกระดูกสันหลังให้ต่ำจากต้นคอลงมาประมาณ 1 นิ้ว ส่วนนิ้วมือที่เหลือให้จับด้านตรงข้ามในตำแหน่งเดียวกัน ออกแรงกดลงที่นิ้วหัวแม่มือและนิ้วทั้งสี่


วิธีการนวดแผนโบราณขั้นพื้นฐาน-นวดคอ 

 ท่าที่ 4 "คลึงต้นคอและบ่า" ช่วยลดอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อบริเวณต้นคอและบ่า • วิธีการนวด ให้ผู้ถูกนวดนั่งบนพื้นหรือเก้าอี้ ผู้นวดยืนด้านหลังของผู้ถูกนวด ให้ทำมือเป็นรูปตัวซี (C) โดยให้หลังมือและเนินมือด้านนิ้วก้อยสัมผัสกับส่วนที่นวด มืออีกข้างหนึ่งให้จับไหล่ของผู้ถูกนวดเอาไว้ กลึ้งและคลึงมือรูปตัวซี ไปตรงบริเวณต้นคอและไล่มาจนถึงข่วงไหล่ ออกแรงโดยการเกร็งข้อมือที่ใช้นวด

การนวดเคลียร์เส้นหลังและต้นคอด้วยตนเอง.

การนวดเคลียร์เส้นหลังและต้นคอด้วยตนเอง.




             การปฐมพยาบาลตนเองหรือการรักษาอาการเจ็บป่วยของตนเอง ด้วยตนเองนั้น จะต้องหมั่นพึงสังเกตอาการของตนเอง "รู้จักวิจัยชีวิตของตนเอง" คือ ต้องอ่านตนเองตลอด ...


รีดข้างซ้ายข้างขวาสลับกันไปสัก 5-10 ครั้ง จากนั้นเราลองสังเกตุว่า เวลาที่เรากดลงไปใกล้ ๆ บริเวณก้านคอนั้นเส้นข้างซ้ายหรือข้างขวา ข้างไหนดึงกว่ากัน หรืออาจจะสังเกตุความเจ็บก็ได้กว่าข้างไหนเมื่อมือเรากดลงไปโดนแล้วเจ็บกว่ากัน ถ้าข้างซ้ายเจ็บมากกว่าก็เคลียร์เส้นข้างนั้นให้มากหน่อยครับ จากนั้นเราก็ค่อย ๆ นวดสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ จากต้นคอให้ไปทั่วศรีษะเลย ข้างใดข้างหนึ่งก่อนก็ได้ หรือจะเน้นข้างที่ปวดมากกว่าก็ได้ การนวดศรีษะนี้ก็จะต้องรีดเหมือนกันครับ แต่ถ้าจะให้ดีที่สุดนั้นก็จะต้องรีดออกทั้งสี่ทิศทาง คือ บน ล่าง ซ้าย ขวา รีดให้ทั่ว ๆ หัว โดยอาจจะเริ่มรีดไปทางซ้ายก่อนจนทั่ว จากนั้นก็มารีดไปทางขวา แล้วก็ต่อด้วยรีดขึ้นบนจนทั่วศรีษะแล้วก็มารีดลงล่างจนทั่วศรีษะอีกครั้งหนึ่ง จากนั้นก็ค่อย ๆ มาคลึงที่ขมับเบา ๆ คลึงวนโดยเริ่มต้นจากขมับแล้วค่อย ๆ เรื่อยขึ้นไปจนกระทั่งถึงข้างบนใบหู จากนั้นเราก็ใช้นิ้วกลางมากดบริเวณหว่างคิ้วไว้สักพักหนึ่ง แล้วก็ค่อย ๆ รีดออกไปจนกระทั่งถึงหางตา รีดออกจากระหว่างคิ้วถึงหางตาประมาณ 3-5 ครั้ง จากนั้นก็มาทำแบบเดียวกันที่ข้างล่างตา โดยเริ่มจากใต้เปลือกตาบริเวณที่ติดสันจมูก โดยกดและรีดออกไปบริเวณหางตา 3-5 ครั้งเช่นเดียวกัน บรรเทาอาการมึนหัวจากน้ำในหูไม่เท่ากัน และถ้าหากใครมีอาการมึนหัวทั้งสองข้างบ่อย ๆ หรือมีปัญหาอาการน้ำในหูไม่เท่ากัน ก็ให้ใช้นิ้วกลางกดที่ใบหูให้สนิท (หรือใช้นิ้วที่มือแรงมากที่สุด) นิ้วใดก็ได้ แต่ที่สำคัญก็คือต้องกดใบหูปิดให้สนิท พยายามไม่ให้มีลมหรือเสียงอะไรเล็ดรอดเข้าไปได้ จากนั้นก็อ้าปากให้กว้างที่สุดแล้วค้างไว้อย่างนั้นประมาณ 5 นาที เวลาอ้าปากก็ให้เงยหน้าขึ้นสักนิดหน่อยครับ จะได้กันน้ำลายไว้ไม่ให้ไหล เมื่อครบห้านาทีแล้วก็ค่อย ๆ คลายนิ้วออกจากใบหูแล้วค่อย ๆ หุบปากลง จากนั้นก็ใช้นิ้วมือดึงหูออก ดึงไล่ขึ้นไล่ลงให้ทั่วทั้งใบหูสักสองถึงสามรอบ อาการมึนหัวก็จะโล่งขึ้นมากครับ ที่จริงการเคลียร์เส้นเพื่อให้คลายอาการมึนหัวนี้ จะต้องมีการกดจุดที่บ่าร่วมด้วยอีก 9 จุด ซึ่งสามารถทำด้วยตนเองได้ แต่ก็ต้องใช้อุปกรณ์ซึ่งเป็นไม้กลม ๆ ช่วยด้วยอีกสักนิดหนึ่ง

                                             ไม้ที่ใช้สำหรับกดจุดต้นคอด้วยตนเอง

 และให้ดีถ้ามีการเคลียร์เส้นหลังด้วยก็จะยิ่งทำให้เส้นที่พันกัน ทับกัน หรือขี่กันอันเนื่อง     จากการนั่ง การเดิน โดยเฉพาะความเครียดนั้น ได้หลุด ๆ ออกจากกันไปบ้างก็จะยิ่งดีครับ การเคลียร์เส้นหลังนี้ทำเองก็ได้ครับ ไม่ต้องพึ่งหมอนวดเสมอไป โดยสามารถหามุมโต๊ะ เดินเข้าไปหรือหันหลังพิงแล้วก็ค่อย ๆ ใช้มุมโต๊ะนั้นเขี่ยเส้นบริเวณด้านข้างกระดูกสันหลังทั้งซ้ายและขวา โดยเขี่ยจากข้างในออกข้างนอกลำตัวเช่นเดียวกัน หรือการทำท่านี้ก็มีอุปกรณ์ช่วยเช่นเดียวกันครับ ซึ่งเป็นอุปกรณ์พื้นบ้านที่มีลักษณะคล้าย ๆ เต้านมที่มีขายตามร้านขายของฝาก

น้ำมันนวดตัวนวดเท้า เกรด A

                            

                              น้ำมันนวดตัวนวดเท้า เกรด A 








                                ใช้นวดได้ทั้วตัวและฝ่าเท้า ช่วยเพิ่มความนุ่มลื่นในการนวด ให้ความเนียนและชุ่มชื่น ลดความแห้งกร้าน พร้อมกลิ่นหอมอ่อนของสปานาชนิด จำทำให้รู้สึกสดชื่น และผ่อนคลายขณะสูดกลิ่น มีให้เลือกถึง 30 กลิ่น เป็นสินค้าขายดีมาก เป็นที่นิยมของชาวไทยและชาวต่างชาติ ไม่มีสารเคมี ไม่ทำให้แพ้ เลขที่จดแจ้ง 10-1-5525252


                          ครีมนวดหน้าบำรุงและซ่อมแซมผิว ผสมวิตามินE Vitamin E Cold Cream 


 ผลิตที่พัฒนาสูตรจากสารสกัดธรรมชาติในการซ่อมแซมและกระชับผิว ใช้นวดหน้าและล้างหน้าให้ผิวนุ่ม เนียนใสอย่างเป็นธรรมชาติ ชนิดเดียวกับที่สถานเสริมความงามใช้นวดหน้า กระตุ้นการหมุนเวียนเลือดบริเวณใบหน้า ทำให้หน้าสดใส อ่อนวัย Vitamin E และน้ำมันจากธรรมชาติ เนื้อครีมละเอียดนุ่ม ไม่เหนียวเหนอะหนะ ช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ผิว เพิ่มให้แก่กล้ามเนื้อ ช่วยให้ผิวยืดหยุ่นเต่งตึง ป้องปกการเกิดริ้วรอยแห่งวัย กระชับรูขุมขน พร้อมช่วยในการไหลเวียนของเลือด ขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดออก ลดริ้วรอยฝ้า กระ และรักษาแผลเป็นให้นุ่มลง สารสกัดจากโปรตีนธรรมชาติจากพืช Moringa Seeds Extract ช่วยกำจัดสิ่งสกปรกที่ตกค้างบนผิว เช่น สารประกอบไฮโดรคาร์บอน ฝุ่น มลภาวะอื่นๆ ที่มีอนุภาคเล็กเกาะติดบนผิว ทำให้ผิวขุ่นมัว ไม่เนียนใส ทำให้ผิวสะอาดล้ำลึก สดใสขึ้น พร้อมกลิ่นหอมอ่อนๆ ทำให้รู้สึกผ่อนคลายราวกับทำสปาหน้า เป็นสูตรที่สามารถนำไปใช้ได้เอง

 Propertics: A Cream rich in Vitamin E, Whiched combined with Natural Oil and other emollients helps keeps the skin soft and supply and helps prevent dryness and wrinking. ส่วนประกอบ : Vitamin E, Stearie Acid, Isofol, Spermax Water, Methyl, Paraben, Moringa Seeds Extract, Fruit Extract เลขที่รับแจ้ง 10-1-5531099




                                น้ำมันนวด คลายกล้ามเนื้อ 


ชนิดร้อน เป็นน้ำมันนวดชนิดรักษาโรค ให้ความชุ่มชื่นในขณะนวด ช่วยคลายกล้ามเนื้อ แก้เคล็ด ขัด ยอก กระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต และมีกลิ่นหอมเย็ยสดชื่น ของอโรม่า และยูคาลิปตัส ทำให้สบาย ผ่อนคลายบริเวณที่ปวดเมี้อย ใช้ได้ทั้งตัว และฝ่าเท้า มีให้เลือก 2 กลิ่น กลิ่นยูคาลิปตัล และกลิ่นอโรม่า







วันพุธที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558

การนวดน้ำมันธรรมชาติ

การนวดน้ำมัน



ใช้เทคนิคการรีดเส้นและนวดคลึงบนร่างกาย ใช้แรงกดน้อยเหมาะกับผู้ที่ปวดตึงและไม่ชอบนวดลงน้ำหนักมาก ด้วยสรรพคุณจาก น้ำมันไพลและครีมไพล ช่วยให้สามารถผ่อนคลายกล้ามเนื้อแก้ปวดเมื่อยดีทีเดียว


การนวดน้ำมัน

การนวดฝ่าเท้า

 ฝ่าเท้าเสมือนกระจกส่องสุขภาพ การนวดกดจุดสะท้อนบนฝ่าเท้า รวมถึงการคลายกล้ามเนื้อบริเวณน่อง สามารถช่วยกระตุ้น การไหลเวียนของเลือด ปรับการทำงานของอวัยวะภายในให้กลับสู่สภาพสมดุล ผ่อนคลายเครียด ผสานกับการใช้ผลิตภัณฑ์สมุนไพร อภัยภูเบศร ได้แก่ น้ำมันไพล ครีมไพล ยาหม่องเสลดพังพอน และฆ่าเชื้อกำจัดกลิ่นด้วยเสปรย์ข่า ยิ่งเพิ่มประสิทธิภาพในการ นวดฝ่าเท้ามากยิ่งขึ้น


การนวดฝ่าเท้า

การประคบ สมุนไพรจากธรรมชาติ

การประคบสมุนไพร 

การประคบสมุนไพรเป็นวิธีการบำบัดรักษาของการแพทย์แผนไทยอีกวิธีหนึ่ง ซึ่งสามารถนำไปใช้ควบคู่กับการนวดไทย โดยมากมักใช้วิธีการประคบสมุนไพรหลังจากทำการนวดเสร็จเรียบร้อย ผลของการรักษาด้วยการประคบสมุนไพรเกิดจากผลของความร้อนที่ได้จากการประคบ และผลจากการที่ตัวยาสมุนไพรซึมผ่านชั้นผิวหนังเข้าสู่ร่างกาย ผลของความร้อนจากการประคบที่มีต่อการรักษานั้น มีดังต่อไปนี้ คือ

 1. ช่วยทำให้เนื้อเยื่อพังผืดยืดตัวออก
 2. ลดการติดขัดของข้อต่อ 
 3. ลดการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อ  ลดปวด 
 4. ช่วยลดอาการบวมที่เกิดจากการอักเสบของกล้ามเนื้อ เอ็น และข้อต่อหลัง 24-48 ชั่วโมง
 5. ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือด