ทุกครั้งเมื่อลูกมี “ไข้” นับเป็นความกังวลใจของพ่อแม่ และหากยิ่งลูกมีไข้สูงกว่า 39 องศาเซลเซียสขึ้นไป ก็ยิ่งสร้างความวิตกกังวลว่าลูกอาจชัก ดั้งนั้นพ่อแม่จึงควรเตรียมตัวเพื่อรับมือพร้อมป้องกันลูกน้อยของเรา
การให้ยาลดไข้ : ยาลดไข้ส่วนใหญ่ที่ใช้ในเด็ก คือยาพาราเซตามอล (Paracetamol) ให้สังเกตบนฉลากยาถึงขนาดยาที่ใช้ คำนวณตามน้ำหนักตัวเด็ก โดยทั่วไปในแต่ละครั้งจะใช้ในขนาด 10 มก. ต่อน้ำหนักตัว และไม่เกินกว่า 1,000 มก. ในแต่ละครั้ง สมุนไพรไทย
การให้ยาน้ำเขากุย: สามารถให้ควบคู่กับยาพาราเซตามอลได้เลย เด็กโตเกิน 2 ปี สามารถทานได้วันละ 1 ขวดในช่วงที่มีไข้ได้เลย
การเช็ดตัว : เป็นกระบวนการนำความร้อนออกจากร่างกาย โดยอาศัยการพาความร้อนของน้ำ ด้วยการเช็ดตัวด้วยน้ำที่อุณหภูมิประมาณ 27-37 องซาเซลเซียส ที่ไม่เกิน 40 องซาเซลเซียส
จะช่วยให้หลอดเลือดขยายตัวทำให้ระบายความร้อนได้ดี
ดื่มน้ำมากๆ : กระตุ้นให้เด็กดื่มน้ำบ่อยๆ เพื่อชดเชยน้ำส่วนที่ร่างกายสูญเสียเพิ่มขึ้นในระหว่างที่มีไข้
ใส่เสื้อผ้าโปร่งสบาย :
ไม่ควรใส่เสื้อผ้าหนา หรือห่มผ้าหนาๆ เพราะจะทำให้ร่างกายระบายความร้อนได้ยาก
พักผ่อนในห้องที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก : ในอุณหภูมิห้องที่ไม่ร้อนไม่เย็นเกินไป
การเช็ดตัวเพื่อลดไข้
สิ่งที่ต้องเตรียม
1.อ่างใส่น้ำ
2. ผ้าขนหนูผืนเล็ก 2-4 ผืน
3. ผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่
วิธีเช็ดตัว
ถอดเสื้อผ้าเด็กออกก ในห้องที่มีอุณหภูมิไม่ร้อนหรือเย็นเกินไป
ใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กในอ่างแล้วบิดหมาดๆ เช็ดตามผิวแรงพอประมาณ บ้านเช่า ห้องเช่าอรัญ
ตามขั้นตอนดังนี้
เช็ดบริเวณหน้าและพักไว้ที่ซอกคอ หลังหู นาน 2-3 นาที แล้วนำผ้ามาชุบน้ำบิดหมาดๆ เช็ดบริเวณหน้าผากและศีรษะ แล้วพักผ้าไว้ที่หน้าผากนาน 2-3 นาที ทำสลับกัน เช็ดบริเวณแขนทั้งสองข้าง โดยเริ่มเช็ดจากปลายแขนเข้าหาตัว เซ็ดซ้ำๆ แล้วพักผ้าไว้บริเวณรักแร้ นาน 2-3 นาที แล้วชุดน้ำอีกครั้งเช็ดตามลำตัว แล้วพักผ้าไว้บริเวณหน้าอก นาน 2-3 นาที ทำสลับกัน
เช็ดขาทั้งสองข้าง โดยเริ่มเช็ดจากปลายขาเข้าหาลำตัวซ้ำๆ แล้วพักผ้าไว้ที่ข้อเข่าหรือขาหนีบ นาน 2-3 นาที
เช็ดด้านหลัง โดยตะแคงตัวเด็ก เช็ดซ้ำหลายๆ ครั้งตั้งแต่คอจนถึงบริเวณก้น
ให้รองตัวเด็กด้วยผ้าแห้ง เพื่อลดความไม่สบายตัว
ให้เปลี่ยนน้ำใหม่เมื่อน้ำในอ่างเย็นลง
ให้เช็ดตัวแต่ละรอบนานประมาณ 15-20 นาที จนรู้สึกว่าตัวเด็กเย็นลง
ใช้ผ้าเช็ดตัวให้แห้งและสวมใส่เสื้อผ้าที่โปร่งสบายความร้อนได้ดี
ให้วัดอุณหภูมิร่างกายซ้ำ หลังจากเช็ดตัวเสร็จ 30 นาที แล้วให้เช็ดซ้ำเมื่อมีไข้สูง
สมุนไพรไทย แก้ปวดหัว สมุนไพรไทยแก้ปวดฟัน สมุนไพรแก้ปวดคอ สมุนไพรไทยแก้สิว สมุนไพรไทยแก้ไอ สมุนไพรได้แก้ไต สมุนไพรไทยแก้เบาหวาน สมุนไพรไทยแก้ปวดหลัง สมุนไพรไทยแก้ผมร่วง สมุนไพรไทยแก้ปวดเมื่อย สมุนไพรไทย ทุกอย่าง
วันจันทร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2558
พืชถอนพิษ
ว่านไฟ
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Aloe, Aloe vera Linn. varchinensis (Haw.) Berg ชื่อวงศ์ : ALOACEAE
ชื่ออื่น : ว่านหางจระเข้ไหม้, หางตะเข้
รูปลักษณะ : ว่านไฟ เป็นไม้ล้มลุกอายุหลายปี สูง 0.5-1 เมตร ข้อและปล้องสั้น ใบเดี่ยว เรียงรอบต้น กว้าง 5-12 ซม. ยาว 0.3-0.8 เมตร อวบน้ำมาก สีเขียวอ่อนหรือสีเขียวเข้ม ภายในมีวุ้นใส ใต้ผิวสีเขียวมีน้ำยางสีเหลือง ใบอ่อนมีประสีขาว ดอกช่อ ออกจากกลางต้น ดอกย่อย เป็นหลอดห้อยลง สีส้ม บานจากล่างขึ้นบน ผลแห้ง แตกได้ สมุนไพรไทย
สรรพคุณของ ว่านไฟ : วุ้นสด ใช้ประโยชน์ได้หลายอย่าง วิธีใช้ให้เลือกใช้ใบล่างสุดของต้นก่อน ล้างน้ำให้สะอาด ปอกเปลือกสีเขียวออกด้วยมีดสะอาด ล้างน้ำยางสีเหลืองออกให้หมด เพราะอาจระคายเคืองผิวหนัง และทำให้มีอาการแพ้ได้ ฝานเป็นแผ่นบางปิดแผล หรือขูดเอาวุ้นใสปิดพอกรักษาแผลสด แผลเรื้อรัง แผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก แผลไหม้เกรียมจากแสงแดด และการฉายรังสี อาจใช้ผ้าพันแผลที่สะอาดพันทับ เปลี่ยนวุ้นใหม่วันละครั้ง เช้า-เย็น จนกว่าแผลจะหาย ใช้วุ้นสดกินรักษาแผลในกระเพาะอาหารได้ดี และใช้เป็นส่วนผสมในเครื่องสำอางหลายประเภท เช่น แชมพูสระผม สบู่ ครีมกันแดด เป็นต้น สารที่ออกฤทธิ์เป็นกลัยโคโปรตีน ชื่อ aloctin A ซึ่งมีฤทธิ์ลดการอักเสบ และเพิ่มการเจริญทดแทนของเนื้อเยื่อ บริเวณที่เป็นแผล แต่มีข้อเสีย คือ สลายตัวได้ง่ายเมื่อถูกความร้อน ไม่ควรทิ้งวุ้นสดไว้เกิน 24 ชั่วโมง น้ำยางสีเหลืองจากใบ เคี่ยวให้แห้ง เรียกว่า ยาดำ เป็นยาระบายชนิดเพิ่มการบีบตัวของลำไส้ใหญ่
นมสวรรค์
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Clerodendrum paniculatum Linn.
ชื่อวงศ์ : VERBENACEAE
ชื่ออื่น : ฉัตรฟ้า, สาวสวรรค์, พวงพีเหลือง, หังลิง, พนมสวรรค์
รูปลักษณะ : นมสวรรค์ เป็นไม้พุ่ม ลำต้นตั้งตรง สูงได้ถึง 3 เมตร ใบเดี่ยว เรียงตรงข้าม รูปไข่ กว้าง 7-38 ซม. ยาว 4-40 ซม. ขอบใบหยักเว้า ลึก 3-7 แฉก ดอกช่อขนาดใหญ่ ออกที่ปลายกิ่ง กลีบเลี้ยงรูประฆังสีส้มแดง กลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นหลอดยาว สีส้มแดง ผล เป็นผลสด รูปทรงกลม สีน้ำเงินแกมเขียวหรือดำ
สรรพคุณของ นมสวรรค์ :
ดอก แก้พิษสัตว์กัดต่อย และพิษที่เกิดจากการติดเชื้อ แก้ตกเลือด ราก ขับลม แก้วัณโรค แก้ไข้มาลาเรีย แก้อาการไข้ที่ถ่ายเหลว อาเจียนเป็นเลือด และมีผื่นขึ้นที่ผิวหนัง ต้น แก้อักเสบเนื่องจากตะขาบ และแมลงป่องต่อย แก้พิษฝีผักบัว บ้านพัก บ้านเช่า ในอรัญ
วันอาทิตย์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2558
พืชสมุนไพร ประเภท ยาแก้ไข้ ลดความร้อน
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Asiatic Pennywort, Tiger Herbal, Centella asiatica (Linn.) Urban
ชื่อวงศ์ : APIACEAE ชื่ออื่น : ผักแว่น, ผักหนอก
รูปลักษณะ : บัวบก เป็นไม้ล้มลุก อายุหลายปี เลื้อยแผ่ไปตามพื้นดิน ชอบที่ชื้นแฉะ แตกรากฝอยตามข้อ ไหลที่แผ่ไปจะงอกใบจากข้อ ชูขึ้น 3-5 ใบ ใบเดี่ยว เรียงสลับ รูปไต เส้นผ่าศูนย์กลาง 2-5 ซม. ขอบใบหยัก ก้านใบยาว ดอกช่อ ออกที่ซอกใบ ขนาดเล็ก 2-3 ดอก กลีบดอกสีม่วง ผลแห้ง แตกได้
สรรพคุณของ บัวบก :
ใบสด ใช้เป็นยาภายนอกรักษาแผลเปื่อย แผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก โดยใช้ใบสด 1 กำมือ ล้างให้สะอาด ตำละเอียด คั้นเอาน้ำทาบริเวณแผลบ่อยๆ ใช้กากพอกด้วยก็ได้ แผลจะสนิทและเกิดแผลเป็นชนิดนูน (Keloid) น้อยลง สารที่ออกฤทธิ์คือ กรด Madecassic, กรด Asiatic และ Asiaticoside ซึ่งช่วยสมานแผลและเร่งการสร้างเนื้อเยื่อ ระงับการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย ที่ทำให้เกิดหนองและลดการอักเสบ มีรายงานการค้นพบฤทธิ์ฆ่าเชื้อรา อันเป็นสาเหตุของโรคกลาก ปัจจุบัน มีการพัฒนายาเตรียมชนิดครีม ให้ทารักษาแผลอักเสบจากการผ่าตัด น้ำต้มใบสดดื่มลดไข้ รักษาโรคปากเปื่อย ปากเหม็น เจ็บคอ ร้อนใน กระหายน้ำ ขับปัสสาวะ แก้ท้องเสีย สมุนไพรไทย
ฟ้าทะลาย
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Andrographis paniculata (Burm. f.) Nees.
ชื่อวงศ์ : ACANTHACEAE ชื่ออื่น : ฟ้าทะลายโจร, หญ้ากับงู, น้ำลายพังพอน
รูปลักษณะ : ฟ้าทะลาย เป็นไม้ล้มลุก สูง 30-60 ซม. ทั้งต้นมีรสขม ลำต้นเป็นสี่เหลี่ยม แตกกิ่งออกเป็นพุ่มเล็ก ใบเดี่ยว เรียงตรงข้าม รูปไข่หรือรูปใบหอก กว้าง 2-3 ซม. ยาว 4-8 ซม. สีเขียวเข้ม เป็นมัน ดอกช่อ ออกที่ปลายกิ่งและซอกใบ ดอกย่อยขนาดเล็ก กลีบดอกสีขาว โคนกลีบดอกติดกัน ปลายแยกออกเป็น 2 ปาก ปากบนมี 3 กลีบ มีเส้นสีแดงเข้มพาดตามยาว ปากล่างมี 2 กลีบ ผลเป็นฝัก สีเขียวอมน้ำตาล ปลายแหลม เมื่อผลแก่จะแตกเป็นสองซีก ดีดเมล็ดออกมา สรรพคุณของ ฟ้าทะลาย : ใบและทั้งต้น ใช้เฉพาะส่วนที่อยู่บนดิน ซึ่งเก็บก่อนที่ดอกจะบาน เป็นยาแก้ไข้ แก้เจ็บคอ แก้ท้องเสีย เป็นยาขมเจริญอาหาร ขนาดที่ใช้คือ พืชสด 1-3 กำมือ ต้มน้ำดื่มก่อนอาหาร วันละ 3 ครั้ง หรือใช้พืชแห้งบดเป็นผงละเอียด ปั้นเป็นยาลูกกลอน ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 0.8 ซม. กินครั้งละ 3-6 เม็ด วันละ 3-4 ครั้ง ก่อนอาหารและก่อนนอน สำหรับผงฟ้าทะลายที่บรรจุแคปซูลๆ ละ 500 มิลลิกรัม ให้กินครั้งละ 2 เม็ด วันละ 2 ครั้ง ก่อนอาหารเช้า-เย็น อาการข้างเคียงที่อาจพบคือ คลื่นไส้
วันเสาร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2558
ฟ้าทะลายโจร...สมุนไพรพิชิตไข้หวัด
ท่ามกลางกระแสของไข้หวัด 2009 ที่กำลังแพร่ระบาดไปทั่วโลก ทำให้กระทรวงสาธารณสุขและองค์กรต่างๆ ที่เกี่ยว ข้องกับสุขภาพทั้งในบ้านเราและในต่างประเทศต้องตื่นตัวกับกระแสดังกล่าวเช่นกัน
ซึ่งนอกจากการรักษาในแผนปัจจุบัน แล้ว สมุนไพรก็เป็นอีกทางเลือกที่ได้รับความสนใจ และสมุนไพรที่โดดเด่นอยู่ในขณะนี้คือ “ฟ้าทะลายโจร” ฟ้าทะลายโจร เป็นสมุนไพรไทยที่มีการใช้กันมานาน มีสรรพคุณแก้ไข้ แก้ท้องร่วง เป็นยาธาตุ บำรุงกำลัง และถูก บรรจุอยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติ พ.ศ. 2549
โดยมีข้อบ่งชี้ว่าสามารถบรรเทาอาการเจ็บคอ และอาการของโรคหวัด เช่น เจ็บ คอ อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ น้ำมูกไหล ซึ่งโรงพยาบาลสามารถสั่งจ่ายทดแทนหรือเสริมการรักษาร่วมกับยาแผน ปัจจุบันได้
สำหรับงานวิจัยทางคลินิกเกี่ยวกับประสิทธิผลในการรักษาหรือป้องกันอาการหวัด พบว่า การรับประทานยาเม็ด ฟ้าทะลายโจร ขนาด 200 มก./วัน ติดต่อกัน 3
เดือน สามารถป้องกันการเกิดหวัดได้ถึง 33% โดยพบอัตราการเป็นหวัด เหลือเพียง 20% เมื่อรับประทานในขนาด 3-6 ก./วัน นาน 7 วัน ทำให้อาการไข้และเจ็บคอลดลง ไม่ต่างจากการใช้ยาพารา เซตามอล มีการศึกษาการใช้สารสกัดฟ้าทะลายโจรร่วมกับสารสกัดโสมไซบีเรีย (Acanthopanax senticosus) ในขนาด 1200 มก./วัน ซึ่งมีสาร andrographolide (สารสำคัญในฟ้าทะลายโจร) 48-60 มก./วัน พบว่าสามารถรักษาอาการที่เกิดจากหวัด เช่น เจ็บคอ มีน้ำมูก คัดจมูก ไอ คอแห้ง ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ สมุนไพรไทย
นอกจากนี้ยังลดอาการเหนื่อย นอนไม่หลับ ความรู้สึกไม่สบายตัว ทำให้ผู้ป่วยฟื้นฟูร่างกายได้เร็วขึ้น และฟ้าทะลายโจรยังมีฤทธิ์ฆ่าแบคทีเรียอย่างอ่อน จึงทำให้ฟ้าทะลายโจรสามารถใช้ป้องกันและรักษาไข้หวัดทั่วไปที่ไม่อาการรุนแรงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขนาดที่แนะนำให้รับประทานตามที่ระบุในบัญชียาหลักแห่งชาติ คือ รับประทานวันละ 3-6 ก. แบ่งให้วันละ 4 ครั้ง หลัง อาหารและก่อนนอน เพื่อบรรเทาอาการเจ็บคอ
และรับประทานวันละ 1.5-3 ก. แบ่งให้วันละ 4 ครั้ง หลังอาหารและก่อนนอน เพื่อบรรเทาอาการหวัด อาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้ยาฟ้าทะลายโจรคือ ทำให้ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ เบื่ออาหาร ปวดเอว วิงเวียนศีรษะ และใจสั่น ข้อควรระวังในการใช้โดยการฉีดหรือใช้ขนาดสูงคือ อาจทำให้เกิดอาการแพ้ ผื่นคัน ลมพิษ
จนถึง อาการแพ้ขั้นรุนแรงและช็อค สตรีมีครรภ์ควรหลีกเลี่ยงเพราะอาจให้เกิดการแท้ง ไม่ควรใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน (ไม่ควรเกิน 7 วัน) เพราะอาจทำให้แขนขาชาหรืออ่อนแรงได้ หากใช้ติดต่อกัน 3 วันแล้วอาการไม่ดีขึ้น หรือมีอาการรุนแรงระหว่างการ ใช้ยา ควรหยุดใช้และไปพบแพทย์
สมุนไพร - ช่วยป้องรักษาและป้องกันไข้หวัด คัดจมูก ตัวร้อนเป็นไข้
สมุนไพร - ช่วยป้องรักษาและป้องกันไข้หวัด
คัดจมูก ตัวร้อนเป็นไข้
1 ขิง
2 น้ำส้มค้้น
3 หัวผักกาด หรือหัวไชเท้า
4 กะเพรา
5 โหระพา
6 หอมแดง
7 ขมิ้นชัน
8 อ้อย
9 มะระ
10 มะเขือยาว สมุนไพรไทย
วันศุกร์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2558
แคนา ยอดสมุนไพรไทยจากท้องนา
เมื่อไม่กี่วันมานี้เป็นวันหยุดยาว ผมเองก็ได้มีโอกาศกลับบ้าน หลีกหนีชีวิตจำเจในเมือง ไปหาพ่อแม่และญาติผู้ใหญ่ที่เคารพ ช่างเป้นช่วงที่เรียบง่ายและมีความสุขจริงๆ อาหารการกินก้เป้นแบบง่ายๆ
ลวกผักจิ้มน้ำพริก ที่พอหาได้ตามท้องถิ่น แต่พืชผักหลายชนิดที่นำมาทานกันนั้น บางชนิดจัดว่าเป็นสมุนไพรไทยที่หาทานยากทีเดียว ซึ่งสมุนไพรในวันนี้ที่ผมจะแนะนำให้ท่านรู้จักเป้นสมุนไพรที่ผมมีโอกาศได้ลองไปเก็บสดๆจากต้น นั่นก็คือแคร์นา นั่นเอง แคนา
จากรูปที่ทุกท่านเห็นนี้ฝีมือในการถ่ายของผมอาจจะไม่เข้าขั้นเท่าไหร่ แต่ดูปุ๊บก็พอจะรู้ว่าเป็นต้นแคนา (ตามชื่อเลยครับ อยู่กลางนาก็เลยมีชื่อว่าแคนา บางทีเขาก็เรียกแคป่า) ที่เห็นหล่นขาวๆที่พื้นนั้นแหละครับคือดอกแคนา ยอดสมุนไพรไทยของเรา ดอกแคนาจะต่างจากแคร์บ้านชัดเจน
ผมเคยเห็นเขาขายกันที่ตลาดกำละ 5 บาท นับดอกได้ 10ดอกได้ แต่ที่นี่ถ้าใครอยากได้มีให้เก็บให้กินแบบบุปเฟ่ครับ ตามปรกติของเว็บนี้ข้อมูลสมุนไพรจะเสนอเป็นระบบ มีข้อมูล
วิทยาศาสตร์ชัดเจน สำหรับหลายๆท่านนำไปอ้างอิง สำหรับครั้งนี้ก็เช่นกัน ข้อมูลของแคร์นามี
ชื่อสมุนไพร แคนา
ชื่ออื่นๆ แคป่า (น่าจะมาจากการที่พบในป่า) แคขาว
(ชื่อนี้มาจากลักษณะดอกสีขาวครับ) แคเค็ตถวา
(ชื่อถิ่น จ.เชียงใหม่) แคทราย
(ชื่อถิ่น จ. นครราชสีมาหรือภาคอีสานบางพื้นที่) สมุนไพรไทย
แคแน แคฝอย(ภาคเหนือ)
ชื่อวิทยาศาสตร์ Dolichandrone serrulata (DC.) Seem.
ชื่อพ้อง Stereospermum serrulatua DC.
ชื่อวงศ์ Bignoniaceae
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ดอกแคนา ลำต้นขนาดเล็กถึงขนาดกลาง สูงได้ถึง 10-20 เมตร ผลัดใบ เปลือกลำต้นสีน้ำตาลอ่อนอมเทา อาจมีจุดดำประ ผิวเรียบ หรือล่อนเป็นเกล็ดขนาดเล็ก ลำต้นตรง มักแตกกิ่งต่ำ ใบ เป็นใบประกอบแบบขนนกชั้นเดียว ปลายคี่ ออกตรงข้าม 3-5 คู่ รูปไข่แกมขอบขนาน ปลายแหลม โคนใบเบี้ยว กว้าง 2.5-7 เซนติเมตร ยาว 6-16 เซนติเมตร ขอบใบหยักแบบซี่ฟันตื้นๆ ผิวใบด้านล่างมี ขนสั้นประปรายบนก้านใบ ก้านใบย่อยยาว 7-10 มิลลิเมตร ดอกเป็นดอกช่อแบบช่อกระจะสั้น ดอกใหญ่ รูปแตร สีขาว ออกตามปลายกิ่ง ยาว 2-3 ซม. ก้านดอกยาว 1.8-4 เซนติเมตร ผลเป็นฝัก ช่อละ 3-4 ฝัก แบน รูปขอบขนาน โค้ง บิดเป็นเกลียว ยาว 40-60 เซนติเมตร
กระชาย สมุนไพรสำหรับท่านชาย
กระชายพืชชนิดนี้เอง มีชื่อเสียงมานาน โดยเฉพาะเป็นสมุนไพรที่ได้ชือว่า สมุนไพรเพื่อเพิ่มสมรถภาพทางเพศ ทุกวันนี้เรื่องเพศเป็นเรื่องที่เปิดกว้าง สามรถคุยกันได้อย่างเปิดเผย ปัญหาทางเพศก็เช่นกัน สำหรับท่านที่มีปัญหา สมุนไพรตัวนี้สามารถช่วยได้ นอกจากนั้นประโยชน์ด้านอื่นๆของกระชายก็มีมากเช่นกัน
กระชาย
ชื่อวิทย์ Boesecnergia pandurata (Roxb.)Schltr.
ชื่อวงศ์ Fam. : ZINGIBERACEAE
ชื่ออื่น ว่านพระอาทิตย์ (กรุงเทพฯ)
กระแอน ระแอน (ภาคเหนือ)
ขิงทราย (มหาสามคาม)
จี๊ปู ซีฟู (ฉาน-แม่ฮ่องสอน)
เป๊าะสี่ เป๊าซอเร้าะ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน)
ลักษณะทั่่วไป
ต้น เป็นพรรณไม้ล้มลุกลำต้นมีความสูง ประมาณ 90 ซม. ส่วนกลางของลำต้นเป็น แกนแข็ง มีกาบหรือโคนใบหุ้ม ใบ มีกลิ่นหอม ก้านใบแทงขึ้นจากหัวในดินออกเป็นรัศมีติดผิว ขนาดใบจะกว้าง 7-9 ซม. ยาว 30 – 35 ซม. ดอก มีสีม่วงแดง ดอกออกเป็นช่อ กลีบรอง กลีบดอกเชื่อมติดกัน มีรูปลักษณะเป็นท่อ มีขน โคนเชื่อมติดกันเป็นท่อยาว เกสรตัวผู้ จะเหมือนกับกลีบดอก อับเรณูอยู่ใกล้ปลายท่อ เกสรตัวเมียมีขนาดยาวเล็ก ยอดของมันเป็นรูปปาก แตรเกลี้ยงไม่มีขน การขยายพันธุ์ จะใช้ส่วนที่เป็นเหง้า หรือ หัวในดิน ปลูกได้ดีในดินที่ร่วนซุย การระบายน้ำได้ดี ดินเหนียว และดินลูกรังไม่เหมาะสมที่จะปลูก ส่วนที่ใช้ รากเหง้า หรือหัวที่อยู่ในดิน สมุนไพรไทย
สรรพคุณ
ในตำรายาไทย จัดให้กระชายเป็นยาครอบจักรวาล กินแล้วกระปรี้กระเปร่า เป็นยาบำรุงธาตุ ทำให้เจริญอาหาร เราใช้กระชายทั้งหัวทั้งราก เป็นทั้งอาหารและเป็นยา สรรพคุณทางยาที่ได้จากตำรายาวัดโพธิ์ให้รายละเอียดว่า กระชายเป็นยาขับปัสสาวะ แก้กระษัย เบาเหลือง-แดง เจ็บปวดบั้นเอว แก้ปวดมวนท้อง แก้ใจสั่น แก้ระดูขาว บำรุงกำลัง และบำรุงกำหนัด สำหรับหัวกระชาย หมอโบราณเอามาเผาไฟ แล้วฝนกับน้ำปูนใส ใช้เป็นยาแก้บิด แก้โรคที่เกิดในปาก ปากเปื่อย ปากเป็นแผล ปากแห้ง ปากแตก รากกระชาย คนโบราณเรียกว่านมกระชาย กินแล้วจะทำให้กระชุ่มกระชวย มีกำลังและใช้กับอาการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศได้ เมื่อสรรพคุณของกระชายทำให้มีกำลัง กระปรี้กระเปร่า แถมยังแก้อาการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศได้ด้วย หมอไทยโบราณจึงเรียกกระชายว่า “โสมไทย”
ข้อมูลงานวิจัยในเรื่องกระชาย
จากงานวิจัยทางห้องปฏิบัติการพบว่าสารสกัดจากกระชายในแอลกอฮอล์และคลอโรฟอร์ม มีฤทธิ์ต้านเชื้อรา ที่ทำให้เกิดโรคผิวหนังและเชื้อราในปากได้ดีพอสมควร ทั้งหมดนี้เป็นสรรพคุณของกระชายแบบธรรมดา ๆ นี่แหละ ไม่มีตำรามาตรฐานเล่มไหนที่กล่าวถึง “กระชายดำ” ซึ่งเป็นสมุนไพรที่ถูกกล่าวขวัญกันมากในสมัยนี้ แต่เราก็เห่อกระชายดำเสียจน ผู้เขียนถูกถามบ่อย ๆ ว่ากระชายดำดีอย่างไร กินแล้วจะมีผลเสียหรือไม่ ค้นจากหนังสือชื่อ กระชายดำ ของสถาบันการแพทย์แผนไทย กระทรวงสาธารณสุข ปี 2547 เขาเขียนไว้ว่า กระชายดำมีสรรพคุณแก้โรคบิด ปวดท้อง ว่ากันว่าเป็นยาอายุวัฒนะ ทำให้ผมดำ ตาแจ่มใส ผิวเต่งตึง ทำให้กระชุ่มกระชาย บำรุงกำลัง บำรุงกำหนัด แถมยังใช้ในด้านอยู่ยงคงกระพันได้ด้วย ถามอาจารย์ประกอบ อุบลขาว แพทย์แผนไทยชื่อดังในสงขลา อาจารย์อธิบายว่า กระชายเป็นยาดี บำรุงกำลัง เพิ่มสมรรถภาพทางเพศ ยิ่งไข่กระชาย (เหง้า) ยิ่งมีคุณภาพดีที่สุด แต่กระชายดำซึ่งเป็นไม้ป่ามาทีหลัง อาจารย์ว่าหัวของมันเหมือนขิงเสียมากกว่า น่าจะเรียกว่าขิงดำเสียด้วยซ้ำ ส่วนสรรพคุณก็เป็นเรื่องที่ว่ากันไป อาจารย์ว่าสู้กระชายดั้งเดิมไม่ได้หรอก ถามอาจารย์ ศ. ดร.ไมตรี สุทธจิตต์ ผู้เชี่ยวชาญทางชีวเคมีถึงความแตกต่างของกระชายธรรมดากับกระชายดำ อาจารย์ก็บอกว่าสีม่วงเกือบดำของกระชายดำนั้นคือสารโพลีฟีนอลตัวหนึ่งที่เรียกว่าแอนโทไซยานีน น่าจะมีประโยชน์ต่อสุขภาพ ที่กินกระชายดำแล้วรู้สึกซู่ซ่านั้น อาจารย์บอกว่านั่นเป็นเพราะกระชายดำทำให้หลอดเลือดขยายตัว มีงานวิจัยจากคณะเภสัชศาสตร์ ม.สงขลานครินทร์พบว่ากระชายดำทำให้องคชาติแข็งตัวขึ้นมาได้จริง ส่วนกระชายธรรมดา หรือกระชายขาวที่มีบันทึกว่าบำรุงกำหนัดนั้นก็เกิดจากผลทางสรีระวิทยาอย่างเดียวกัน เรื่องนี้ก็เป็นที่สนใจของนักวิทยาศาสตร์ และคงมีการค้นคว้าต่อไป ส่วนผลเสียของกระชายดำนั้นยังไม่มีใครรายงาน ถ้าใช้เป็นประจำและใช้ไปนาน ๆ จะเกิดอะไรขึ้นก็ยังไม่มีใครทราบ ยังไม่มีใครบันทึกอะไรไว้ ก็เลยเป็นเรื่องที่ต้องติดตามต่อไป จากข้อมูลของสถาบันการแพทย์แผนไทย กล่าวถึงพิษวิทยาของกระชายดำว่าหากหนูขาวกินกระชายดำ 13.33 กรัม /กก. จะทำให้ถึงตายได้ ถ้าจะเทียบเป็นปริมาณในคนก็คือ ไม่ควรกินเกินครั้งละประมาณ 5-6 ขีด นั่นแสดงว่าการใช้กระชายดำก็ต้องระมัดระวังให้มาก เพราะไม่ใช่ว่ามันจะไม่มีพิษเสียเลยทีเดียว แต่การใช้กระชายดำเขาใช้ทีละน้อย เช่นกินครั้งละ 15 กรัม หรือใช้กระชายดำ 4-5 ขีดไปดองเหล้า 1 ขวดแล้วกินครั้งละเพียง 30 ซีซี จึงไม่ทำให้เกิดอันตราย ส่วนปัญหาที่ว่า หากกินเป็นประจำจะมีพิษสะสมหรือไม่ รายงานการวิจัยจนถึงทุกวันนี้ก็ยังให้คำตอบไม่ได้ แต่มีข้อมูลที่น่าสนใจคือ หากหนูขาวตัวเมียกินกระชายดำเป็นประจำ มันจะมีคอเลสเตอรอลสูง แถมมีระดับโซเดียมในเลือดสูงอีกด้วยจนน่าห่วงว่าความดันเลือดจะสูงได้ ดังนั้นใครจะมาอ้างว่ากระชายดำลดคอเลสเตอรอลได้ ลดความดันเลือดได้ ให้ฟังหูไว้หู เอาเถอะ อาจจะสรุปได้ว่า “กระชาย(เฉย ๆ)” เป็นยาดีเทียบได้กับโสม ส่วน “กระชายดำ” ก็น่าจะมีประโยชน์ต่อสุขภาพ สีม่วงเข้มเกือบดำของกระชายดำทำให้เป็นที่น่าสนใจ
ชื่อวิทย์ Boesecnergia pandurata (Roxb.)Schltr.
ชื่อวงศ์ Fam. : ZINGIBERACEAE
ชื่ออื่น ว่านพระอาทิตย์ (กรุงเทพฯ)
กระแอน ระแอน (ภาคเหนือ)
ขิงทราย (มหาสามคาม)
จี๊ปู ซีฟู (ฉาน-แม่ฮ่องสอน)
เป๊าะสี่ เป๊าซอเร้าะ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน)
ลักษณะทั่่วไป
ต้น เป็นพรรณไม้ล้มลุกลำต้นมีความสูง ประมาณ 90 ซม. ส่วนกลางของลำต้นเป็น แกนแข็ง มีกาบหรือโคนใบหุ้ม ใบ มีกลิ่นหอม ก้านใบแทงขึ้นจากหัวในดินออกเป็นรัศมีติดผิว ขนาดใบจะกว้าง 7-9 ซม. ยาว 30 – 35 ซม. ดอก มีสีม่วงแดง ดอกออกเป็นช่อ กลีบรอง กลีบดอกเชื่อมติดกัน มีรูปลักษณะเป็นท่อ มีขน โคนเชื่อมติดกันเป็นท่อยาว เกสรตัวผู้ จะเหมือนกับกลีบดอก อับเรณูอยู่ใกล้ปลายท่อ เกสรตัวเมียมีขนาดยาวเล็ก ยอดของมันเป็นรูปปาก แตรเกลี้ยงไม่มีขน การขยายพันธุ์ จะใช้ส่วนที่เป็นเหง้า หรือ หัวในดิน ปลูกได้ดีในดินที่ร่วนซุย การระบายน้ำได้ดี ดินเหนียว และดินลูกรังไม่เหมาะสมที่จะปลูก ส่วนที่ใช้ รากเหง้า หรือหัวที่อยู่ในดิน สมุนไพรไทย
สรรพคุณ
ในตำรายาไทย จัดให้กระชายเป็นยาครอบจักรวาล กินแล้วกระปรี้กระเปร่า เป็นยาบำรุงธาตุ ทำให้เจริญอาหาร เราใช้กระชายทั้งหัวทั้งราก เป็นทั้งอาหารและเป็นยา สรรพคุณทางยาที่ได้จากตำรายาวัดโพธิ์ให้รายละเอียดว่า กระชายเป็นยาขับปัสสาวะ แก้กระษัย เบาเหลือง-แดง เจ็บปวดบั้นเอว แก้ปวดมวนท้อง แก้ใจสั่น แก้ระดูขาว บำรุงกำลัง และบำรุงกำหนัด สำหรับหัวกระชาย หมอโบราณเอามาเผาไฟ แล้วฝนกับน้ำปูนใส ใช้เป็นยาแก้บิด แก้โรคที่เกิดในปาก ปากเปื่อย ปากเป็นแผล ปากแห้ง ปากแตก รากกระชาย คนโบราณเรียกว่านมกระชาย กินแล้วจะทำให้กระชุ่มกระชวย มีกำลังและใช้กับอาการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศได้ เมื่อสรรพคุณของกระชายทำให้มีกำลัง กระปรี้กระเปร่า แถมยังแก้อาการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศได้ด้วย หมอไทยโบราณจึงเรียกกระชายว่า “โสมไทย”
ข้อมูลงานวิจัยในเรื่องกระชาย
จากงานวิจัยทางห้องปฏิบัติการพบว่าสารสกัดจากกระชายในแอลกอฮอล์และคลอโรฟอร์ม มีฤทธิ์ต้านเชื้อรา ที่ทำให้เกิดโรคผิวหนังและเชื้อราในปากได้ดีพอสมควร ทั้งหมดนี้เป็นสรรพคุณของกระชายแบบธรรมดา ๆ นี่แหละ ไม่มีตำรามาตรฐานเล่มไหนที่กล่าวถึง “กระชายดำ” ซึ่งเป็นสมุนไพรที่ถูกกล่าวขวัญกันมากในสมัยนี้ แต่เราก็เห่อกระชายดำเสียจน ผู้เขียนถูกถามบ่อย ๆ ว่ากระชายดำดีอย่างไร กินแล้วจะมีผลเสียหรือไม่ ค้นจากหนังสือชื่อ กระชายดำ ของสถาบันการแพทย์แผนไทย กระทรวงสาธารณสุข ปี 2547 เขาเขียนไว้ว่า กระชายดำมีสรรพคุณแก้โรคบิด ปวดท้อง ว่ากันว่าเป็นยาอายุวัฒนะ ทำให้ผมดำ ตาแจ่มใส ผิวเต่งตึง ทำให้กระชุ่มกระชาย บำรุงกำลัง บำรุงกำหนัด แถมยังใช้ในด้านอยู่ยงคงกระพันได้ด้วย ถามอาจารย์ประกอบ อุบลขาว แพทย์แผนไทยชื่อดังในสงขลา อาจารย์อธิบายว่า กระชายเป็นยาดี บำรุงกำลัง เพิ่มสมรรถภาพทางเพศ ยิ่งไข่กระชาย (เหง้า) ยิ่งมีคุณภาพดีที่สุด แต่กระชายดำซึ่งเป็นไม้ป่ามาทีหลัง อาจารย์ว่าหัวของมันเหมือนขิงเสียมากกว่า น่าจะเรียกว่าขิงดำเสียด้วยซ้ำ ส่วนสรรพคุณก็เป็นเรื่องที่ว่ากันไป อาจารย์ว่าสู้กระชายดั้งเดิมไม่ได้หรอก ถามอาจารย์ ศ. ดร.ไมตรี สุทธจิตต์ ผู้เชี่ยวชาญทางชีวเคมีถึงความแตกต่างของกระชายธรรมดากับกระชายดำ อาจารย์ก็บอกว่าสีม่วงเกือบดำของกระชายดำนั้นคือสารโพลีฟีนอลตัวหนึ่งที่เรียกว่าแอนโทไซยานีน น่าจะมีประโยชน์ต่อสุขภาพ ที่กินกระชายดำแล้วรู้สึกซู่ซ่านั้น อาจารย์บอกว่านั่นเป็นเพราะกระชายดำทำให้หลอดเลือดขยายตัว มีงานวิจัยจากคณะเภสัชศาสตร์ ม.สงขลานครินทร์พบว่ากระชายดำทำให้องคชาติแข็งตัวขึ้นมาได้จริง ส่วนกระชายธรรมดา หรือกระชายขาวที่มีบันทึกว่าบำรุงกำหนัดนั้นก็เกิดจากผลทางสรีระวิทยาอย่างเดียวกัน เรื่องนี้ก็เป็นที่สนใจของนักวิทยาศาสตร์ และคงมีการค้นคว้าต่อไป ส่วนผลเสียของกระชายดำนั้นยังไม่มีใครรายงาน ถ้าใช้เป็นประจำและใช้ไปนาน ๆ จะเกิดอะไรขึ้นก็ยังไม่มีใครทราบ ยังไม่มีใครบันทึกอะไรไว้ ก็เลยเป็นเรื่องที่ต้องติดตามต่อไป จากข้อมูลของสถาบันการแพทย์แผนไทย กล่าวถึงพิษวิทยาของกระชายดำว่าหากหนูขาวกินกระชายดำ 13.33 กรัม /กก. จะทำให้ถึงตายได้ ถ้าจะเทียบเป็นปริมาณในคนก็คือ ไม่ควรกินเกินครั้งละประมาณ 5-6 ขีด นั่นแสดงว่าการใช้กระชายดำก็ต้องระมัดระวังให้มาก เพราะไม่ใช่ว่ามันจะไม่มีพิษเสียเลยทีเดียว แต่การใช้กระชายดำเขาใช้ทีละน้อย เช่นกินครั้งละ 15 กรัม หรือใช้กระชายดำ 4-5 ขีดไปดองเหล้า 1 ขวดแล้วกินครั้งละเพียง 30 ซีซี จึงไม่ทำให้เกิดอันตราย ส่วนปัญหาที่ว่า หากกินเป็นประจำจะมีพิษสะสมหรือไม่ รายงานการวิจัยจนถึงทุกวันนี้ก็ยังให้คำตอบไม่ได้ แต่มีข้อมูลที่น่าสนใจคือ หากหนูขาวตัวเมียกินกระชายดำเป็นประจำ มันจะมีคอเลสเตอรอลสูง แถมมีระดับโซเดียมในเลือดสูงอีกด้วยจนน่าห่วงว่าความดันเลือดจะสูงได้ ดังนั้นใครจะมาอ้างว่ากระชายดำลดคอเลสเตอรอลได้ ลดความดันเลือดได้ ให้ฟังหูไว้หู เอาเถอะ อาจจะสรุปได้ว่า “กระชาย(เฉย ๆ)” เป็นยาดีเทียบได้กับโสม ส่วน “กระชายดำ” ก็น่าจะมีประโยชน์ต่อสุขภาพ สีม่วงเข้มเกือบดำของกระชายดำทำให้เป็นที่น่าสนใจ
วันพุธที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2558
การดูแลผู้ป่วยโรคเก๊าท์ ด้วยการแพทย์ผสมผสาน
การดูแลผู้ป่วยโรคเก๊าท์ ด้วยการแพทย์ผสมผสาน
ด้วยการแพทย์ผสมผสาน การแพทย์แผนจีน โรคเก๊าท์จัดเป็นโรคข้ออักเสบเฉียบพลันที่พบได้บ่อย โดยการแพทย์แผนปัจจุบัน กล่าวถึงสาเหตุของโรคนี้ว่า เ
กิดจากความผิดปกติในขบวนการเมตาบอลิซึมของกรดยูริกในร่างกายเป็นผลให้กรดยูริกในเลือดมีค่าสูงกว่าปกติและตกตะกอนเป็นผลึกเกลือยูเรตสะสมในเนื้อเยื่อต่างๆของร่างกายแต่สำหรับการแพทย์แผนจีนกล่าวถึงกลุ่มอาการ"ปี้เจิ้ง"ว่า
เกิดจากการไม่ไหลเวียนของ "ชี่หรือ ปราณ" ซึ่งมีสาเหตุมาจากความอ่อนแอของร่างกาย และปัจจัยต่างๆ ที่ก่อให้เกิดโรค ได้แก่ ลมความเย็นและความชื้น รวมทั้งเป็นผลมาจากการบาดเจ็บและการไม่ออกกำลังกาย ดังนั้น แนวทางการรักษา จึงใช้วิธี สมุนไพรไทยเพิ่มเติ่ม
ดังนี้ การฝังเข็มระบบเส้นลมปราณ มีจุดประสงค์เสริมหน้าที่ของม้ามและกระเพาะอาหารให้แข็งแกร่งเพื่อช่วยขจัดความชื้นก่อโรคทะลวงเส้นลมปราณที่ติดขัดอาจใช้การฝังเข็มลึกร่วมกับการรมยาหากมี
อาการปวดรุนแรงให้พิจารณาใช้เข็มสอดผิวหนังคาไว้หรือใช้การรมยาคั่นขิงซึ่งอาจใช้จุดฝังเข็มที่มีความสัมพันธ์กับข้อที่อักเสบหรือเลือกตามเส้นระบบลมปราณ เช่นHouXi (SI3) ร่วมกับShenMai (BL62)หรือDaBao (SP21)ร่วมกับGeShu (BL17) การรักษาด้วยเข็มผิวหนังร่วมกับครอบกระปุก โดยใช้เข็มผิวหนังเคาะอย่างแรงจนเลือดซึมบริเวณข้อที่มีปัญหาแล้วตามด้วยการครอบกระปุกตรงบริเวณที่เคาะเข็มผิวหนังวิธีนี้เหมาะกับการรักษาผิวหนังและกล้ามเนื้อขัดคล่องที่มีอาการชา,กระดูกขัดคล่องที่มีอาการตึงแข็งและเคลื่อนไหวได้จำกัดหรือข้อผิดรูป
การบำรุงร่างกาย หลีกเลี่ยงปัจจัยก่อโรค เช่น ลมความเย็นและความชื้น การออกกำลังกาย การเคลื่อนไหว เพื่อให้เกิดการไหลเวียนของ "ชี่ หรือ ปราณ" การทานอาหาร หรือสมุนไพร เช่น "โกศหัวบัว"ช่วยการไหลเวียนของชี่และเลือดขับลมในเลือด
ระงับปวด, "กันเฉ่า" บำรุงชี่ เสริมม้ามและกระเพาะ-อาหาร ระบายความร้อน ขับพิษ , "ตังกุย"มีสรรพคุณบำรุงเลือดช่วยให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น นอกจากนี้ ให้งดพืชและอาหารที่มีกรดยูริกสูง เช่น ชะเอม กระถิน
แตงกวาหน่อไม้ หน่อไม้ฝรั่ง เห็ด ดอกกะหล่ำ ถั่วงอก ยอดแค ดอกสะเดา สาหร่าย ยอดผักต่างๆเป็นต้น และแนะนำให้ลดอาหารจำพวกสัตว์ปีกเครื่องในสัตว์ทุกชนิด เช่น กะปิที่มีน้ำสกัดจากเนื้อ กุ้ง หอย และกุนเชียง ไส้กรอกปลาซาร์ดีน และไข่แมงดา
สมุนไพรที่ใช้รักษาโรคกระเพาะอาหาร
สมุนไพรที่ใช้รักษาโรคกระเพาะอาหาร
นานาสาระเพื่อสุขภาพที่ดี
สมุนไพรที่ใช้รักษาโรคกระเพาะอาหาร
1.ขมิ้นชัน ขมิ้นเป็นสมุนไพรที่มีความปลอดภัยสูง การศึกษาพบว่าขมิ้น ไม่มีพิษเฉียบพลันและไม่มีผลในด้านก่อกลายพันธุ์ และในการวิจัยทางคลินิกของ ฉวีวรรณ พฤกษ์สุนันท์และคณะ (2529) ได้ศึกษาเคมีเลือดผู้ป่วยที่รับการ ทดลองจำนวน 30 คน ก่อนและหลังรับประทานขมิ้นติดต่อกันนาน 4 สัปดาห์ ไม่พบว่ามีการเปลี่ยนแปลงในผลเคมีเลือดที่บ่งถึงการตรวจหน้าที่ตับและไต และฮีมาโตโลยี ส่วนผลแทรกแซง พบอาการท้องผูก ราย แพ้ยามีผื่นที่ผิวหนัง 2 ราย
วิธีการใช้ขมิ้นรักษาโรคกระเพาะ ขมิ้นใช้รักษาโรคกระเพาะอาหารโดยการนำเหง้าแก่สดล้างให้สะอาด (ไม่ต้องปอกเปลือก) หั่นเป็นชิ้นบาง ๆ ตากแดดจัดสัก 1-2 วัน บดให้ละเอียด ผสมกับน้ำผึ้งปั้นเป็นลูกกลอน หรือบรรจุแคปซูล เก็บไว้ในขวดสะอาดและมิดชิด รับประทานครั้งละ 500 มิลลิกรัม วันละ4 ครั้ง หลังอาหารและก่อนนอน บางคนรับประทานขมิ้นแล้วอาจมีอาการแพ้ขมิ้น เช่นคลื่นไส้ ท้องเสีย ปวดหัวนอนไม่หลับ เป็นต้น หากมีอาการดังกล่าวให้หยุดยาและเปลี่ยนไปใช้ยาชนิดอื่นแทน
2.กล้วยน้ำว้า วิธีใช้กล้วยรักษาโรคกระเพาอาหาร นำกล้วยน้ำว้าดิบฝานเป็นแว่นตากแดดประมาณ 2 วัน หรืออบให้แห้งในอุณหภูมิ 50 องศาเซลเซียส และบดเป็นผง สมุนไพรไทยรักษาโรค
วิธีรับประทานโดยการนำผงกล้วยดิบครั้งละครึ่งถึงหนึ่งผล ชงน้ำหรือผสมกับน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ ดื่มหรือนำผงกล้วยดิบมาปั้นลูกกลอน รับประทานครั้งละ 4 เม็ด วันละ 4 ครั้ง ก่อนอาหาร และก่อนนอน รับประทานแล้วอาจมีอาการท้องอืดเฟ้อ ป้องกันได้โดยใช้ร่วมกับยาขับลม เช่น น้ำขิง พริกไทย เป็นต้น
3.ว่านหางจระเข้ ใช้ใบสดที่เพิ่งตัดออกจากต้น นำมาล้างให้สะอาด ปอกเปลือกส่วนที่มีสีเขียวออกให้หมดเหลือแต่วุ้นใส หากมียางสีเหลืองติดที่วุ้นให้ล้างออกก่อน หั่นวุ้นเป็นชิ้นเล็ก ๆ ขนาดประมาณ 3 นิ้ว ล้างให้สะอากอีกครั้ง กินวันละ 2 เวลา ก่อนอาหารเช้า เย็น
4.กระเจี๊ยบเขียว กระเจี๊ยบเขียว เป็นพืชที่มีคุณสมบัติในการช่วยรักษาโรคกระเพาะอาหารและลำไส้ เพราะในฝักกระเจี๊ยบนั้นมีสารเมือกพวกเพ็กติน (Pectin) และกัม (Gum) ช่วยเคลือบแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้ไม่ให้ลุกลาม รักษาความดันให้เป็นปกติ เป็นยาบำรุงสมอง มีสรรพคุณเป็นยาระบายและสามารถแก้โรคพยาธิตัวจี๊ดได้ด้วย แต่ต้องรับประทานติดต่อกันเป็นเวลาอย่างน้อย 15 วัน
วิธีใช้กระเจี๊ยบเขียวรักษาโรคกระเพาอาหาร ใช้ผักลวกกินน้ำพริกทุกวัน เมือกลื่นๆ ในผลกระเจี๊ยบเขียว ช่วยเคลือบแผลในกระเพาะอาหารได้
5.หัวปลี หัวปลี ถือเป็นอาหารบำรุงน้ำนมของผู้หญิงที่กำลังมีบุตร ดังนั้นคุณแม่ลูกอ่อนที่ให้นมลูกก็ควรจะกินอาหารที่มีหัวปลีเป็นส่วนประกอบ ให้มากๆ ระหว่างที่ยังให้นมลูก และนอกจากนั้นก็ยังมีแร่ธาตุอย่างธาตุเหล็กอยู่มากอีกด้วย และเมื่อเร็วๆ นี้ก็มีผลวิจัยพบว่าหัวปลีนั้นยังช่วยรักษาโรคกระเพาะอาหารได้ด้วย โดยการทดลองนั้นพบว่าการใช้สารสกัดจากหัวปลีสามารถป้องกันการเกิดแผลใน กระเพาะอาหารได้มากถึง ๔๗.๘๘-๘๗.๖๓% โดยเฉพาะในกลุ่มที่เกิดแผลในกระเพาะอาหารจากการดื่มสุราอยู่เป็นประจำ
วิธีใช้หัวปลีเขียวรักษาโรคกระเพาอาหาร นำปลีกล้วยน้ำว้ามาเผา แล้วบีบเอาแต่น้ำ ได้ประมาณครึ่งแก้ว ดื่มก่อนอาหาร รสชาติฝาดเฝื่อน กินยากมาก แต่มีตนกินติดกันประมาณ 3 วัน อาการปวดกระเพาะที่อักเสบเรื้อรังมานานหายสนิท ขอขอบคุณข้อมูลจาก
:@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@
รักษาโรคกระเพาะ ด้วยสมุนไพรลดธาตุไฟ "โรคกระเพาะ" หรือโรคแผลในกระเพาะอาหาร หมายถึง แผลที่เกิดขึ้นในเยื่อบุทางเดินอาหารส่วนที่สัมผัสกับน้ำย่อย มักมีอาการปวดแสบ ปวดตื้อ ปวดเสียด หรือจุกแน่น ตรงบริเวณใต้ลิ้นปี่ อาการปวดเหล่านี้ เป็นได้ทั้งเวลาก่อนกินอาหาร หรือหลังกินอาหารใหม่ๆ และเวลาท้องว่าง บางคนอาจเป็นๆ หายๆ เวลาเป็นมักจะปวดนานครั้งละ 15-30 นาที วันละหลายครั้งตามมื้ออาหาร อาการปวดจะลดลงถ้าได้กินข้าว ดื่มน้ำ ดื่มนม หรือกินยาลดกรด
สาเหตุของการเกิดโรคกระเพาะ เชื่อกันว่าส่วนใหญ่มาจากการมีกรดในกระเพาะอาหารมากเกินไป ซึ่งอาจมีผลมาจากความเครียด ความวิตกกังวล การดื่มเหล้า สูบบุหรี่ กินอาหารไม่เป็นเวลา อาหารรสจัด รวมทั้งปัจจัยทางกรรมพันธุ์เป็นสาเหตุหลัก นอกจากนี้ ยังเกิดจากการที่เยื่อบุกระเพาะอาหารอ่อนแอลง อันเป็นผลมาจากการกินยาบางประเภท เช่น ยาแก้ปวดกระดูก ปวดกล้ามเนื้อ ยาชุดที่มีแอสไพริน และยาสเตียรอยด์ รวมทั้งการติดเชื้อ "เฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลไร" (Helicobacter) เชื่อว่าติดต่อโดยการรับประทานอาหาร น้ำ ที่มีเชื้อตัวนี้อยู่ เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหารได้เช่นกัน เพราะเชื้อนี้ทำให้ผนังกระเพาะอาหารอ่อนแอลง จึงมีความทนต่อกรดและน้ำย่อยลดลง
ในทางการแพทย์แผนไทย การที่มีกรดมากเกินไป การเป็นแผลในกระเพาะอาหาร การมีเลือดออก คือ การกำเริบของธาตุไฟ
กระเพาะอาหารเป็นอวัยวะที่ไวต่ออารมณ์ความรู้สึกมากที่สุด โรคกระเพาะจึงเป็นผลพวงของความผิดปกติของวาตะได้มากเช่นกัน ดังนั้น คนที่มีแต่ความเครียด คิดมาก วิตกกังวล เช่น นักธุรกิจที่ต้องแข่งขันสูง นักศึกษาที่เครียดจากการเรียนการสอบ มักจะป่วยเป็นโรคกระเพาะ เนื่องจากความเครียดจะทำให้ผนังกระเพาะบางลง เลือดไปเลี้ยงกระเพาะน้อยลง การหลั่งกรดไม่สม่ำเสมอ บางครั้งมากไป บางครั้งน้อยไป ซึ่งเป็นผลเสียทั้งสองแบบ ถ้ากรดหลั่งมากไปก็นำไปสู่การย่อยผนังกระเพาะ ถ้าน้อยไปอาหารก็จะไม่ย่อย เกิดการหมักหมม เกิดแก๊สนำไปสู่การเกิดแผลในกระเพาะได้เช่นกัน กล่าวคือ แม้ความผิดปกติจะเริ่มจากธาตุลม แต่ก็นำไปสู่การกำเริบของธาตุไฟได้เช่นกัน
การรักษา มุ่งเน้นการปรับสมดุลโดยใช้ทั้งอาหาร ยาสมุนไพร การออกกำลังกาย การฝึกจิต โรคกระเพาะเป็นโรคหนึ่งที่จะต้องรักษาแบบองค์รวม เริ่มจากการปรับการทำงานของธาตุลม โดยการฝึกทางจิต ฝึกการหายใจ เพื่อลดความเครียด ทำให้จิตใจปล่อยวาง ในส่วนของการปรับสมดุลของธาตุไฟ ต้องงดอาหารที่จะไปเพิ่มธาตุไฟเช่น ของหมักดอง อาหารรสจัด อาหารมัน อาหารทอด อาหารรสหวานจัด เหล้า บุหรี่ สมุนไพรไทยต่างๆ
นอกจากนี้ต้องกินอาหารที่ไม่ไปรบกวนการทำงานของธาตุ เช่น อาหารย่อยง่าย ผักสด เป็นต้น การใช้สมุนไพรรักษาโรคกระเพาะ มุ่งเน้นการลดธาตุไฟ เป็นสมุนไพรที่มีคุณสมบัติเย็น รสขม มีคุณสมบัติหล่อลื่น ช่วยรักษาแผล เช่น วุ้นว่านหางจระเข้ รากสามสิบ กระเจี๊ยบมอญ บัวบก กะหล่ำปลี ชะเอม บอระเพ็ด กล้วยหักมุก หรือกล้วยน้ำว้าแก่จัด (ไม่ใช้กล้วยหอมเนื่องจากกล้วยหอมมีคุณสมบัติร้อน) และในส่วนของเครื่องเทศ เพื่อเป็นการเพิ่มอัคนีหรือไฟธาตุในการช่วยย่อยอาหาร ขมิ้นชันจึงเป็น
สมุนไพรที่ดีที่สุดชนิดหนึ่ง เพราะไม่ร้อนมากเกินไป ทั้งยังช่วยรักษาแผล ลดการหลั่งของกรดได้อีกด้วย
ยังมีสมุนไพรที่น่าสนใจดังนี้
1. ว่านหางจระเข้ สามารถใช้วุ้นว่านหางจระเข้รักษาโรคกระเพาะได้เช่นกัน
2. กะหล่ำปลี แม้ว่ากะหล่ำปลีจะไม่ใช่สมุนไพรไทยมาแต่เดิม แต่หมอชาวโรมันใช้กะหล่ำปลีรักษาโรคกระเพาะอาหาร อาการนอนไม่หลับ อาการปวดท้อง เป็นต้น เนื่องจากสารในกระหล่ำปลีมีคุณสมบัติลดการอักเสบ และกระตุ้นการสร้างเยื่อเมือกเพื่อไปปกป้องผนังกระเพาะอาหารและลำไส้ ไม่ให้เกิดแผลจากการย่อยของกรด กะหล่ำปลียังมีสารที่ช่วยสมานแผลในกระเพาะ นอกจากนี้ กะหล่ำปลียังช่วยคลายเครียดได้ดีอีกด้วย
3. ขมิ้นชัน เป็นสมุนไพรที่คนไทยใช้รับประทานเป็นอาหาร เป็นยา และใช้เป็นเครื่องสำอางมาอย่างยาวนาน ด้วยคุณสมบัติที่เป็นเครื่องเทศช่วยย่อยอาหาร สามารถใช้ได้กับทุกคนแม้กระทั่งในเด็ก และสามารถใช้เป็นยาทั้งภายในและภายนอก โดยยาภายนอกใช้รักษาแผลสด ช้ำบวม แมลงสัตว์กัดต่อย ยุงกัด และปัจจุบันยังพบว่าขมิ้นชัน มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ ต้านมะเร็ง ต้านการอักเสบ ฆ่าเชื้อ ขับลม
วันศุกร์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2558
สมุนไพรบำรุงความงาม สวยธรรมชาติครบทุกส่วน
สูตรสมุนไพรบำรุงความงาม สวยด้วยธรรมชาติล้วน ๆ เรียกได้ว่าแทบไม่เอาตัวเองไปข้องเกี่ยวกับความเสี่ยงของสารเคมีเลยสักนิด แต่ก็เนรมิตความสวยซะเหมือนใช้ครีมราคาแพง
เกิดเป็นผู้หญิงอย่าหยุดสวย สาว ๆ อย่างเราเลยต้องบำรุงดูแลผิวพรรณผมเผ้าและรูปร่างกันอย่างเอาเป็นเอาตาย ใครแนะนำครีมดีราคาแพงเท่าไรก็สู้ไม่อั้น ทว่าคุ้มค่าแค่ไหนกับการใช้จ่ายเกินความจำเป็นเพื่อแลกกับความสวยความงาม ในเมื่อสมุนไพรใกล้บ้านก็ช่วยให้เราสวยด้วยธรรมชาติเสกได้เหมือนกันอย่างที่คุณศศินี ปัญญารัตน์ ได้ฝากข้อมูลสุขภาพไว้ในนิตยสาร Happy+ ตามบรรทัดข้างล่างนี้
อากาศร้อน ๆ อย่างนี้ จะทำอะไรก็เหงื่อไหลไคลย้อย แต่สาว ๆ ดีใจ ได้ใส่แขนกุด นุ่งสั้น โชว์ผิวงาม ๆ กันเต็มที่ ผิวสวยก็ดีไป แต่ผิวเซลลูไลท์เดี๋ยวนี้เขาก็ไม่แคร์สื่อนะคะ ประมาณว่าถ้าไม่โชว์ตอนนี้แล้วจะโชว์ตอนเหี่ยวหรือไง ก็จริงของเขาค่ะ ตอนสาว ๆ นุ่งสั้นก็ยังโอเค ตอนสูงวัยใส่แล้วไม่ค่อยเข้ากับใบหน้ายังไงก็ไม่รู้ สมุนไพรเพิ่มเติม
แต่สมัยนี้อยากเปลี่ยนจากมนุษย์ป้า เป็นสาววัยทีนแสนจะง่าย ไม่ใช่เฉพาะใบหน้านะคะ ขอบอกว่าทั้งตัวก็ยังได้ คุณหมอสมัยนี้บวกกับเทคโนโลยีสมัยใหม่อะไรก็ง่ายไปหมด ส่วนจะให้ผลระยะยาวแค่ไหน คงขึ้นอยู่กับความพอใจของลูกค้าว่าอยากกลับมาแก้ให้เด็กลงไปอีกหรือเปล่า
ดิฉันเองไม่นิยมตัดเสริม เติม แต่ง ร่างกาย เพราะไม่แน่ใจเรื่องผลข้างเคียงว่าหลังจากทำจะเป็นเช่นไร โดยเฉพาะสวยด้วยสารเคมีต้องฉีด ต้องกิน ยิ่งไม่เอาเด็ดขาดค่ะ ขออาศัยสูตรความงามแบบธรรมชาตินี้ละ สุขกายแล้วก็สบายใจด้วย ดิฉันขอนำเสนอ ต้นตำรับ (ความงาม) ส่วนประกอบสำคัญของผลิตภัณฑ์ ไม่เชื่อต้องลองค่ะ
สะเดา (Neem)
ทุกส่วนของต้นสะเดานั้นมีประโยชน์เป็นอย่างยิ่ง มาดูคุณประโยชน์ด้านความงามกันค่ะ รักษาสิว - นำใบสะเดา 2-3 ใบ มาต้ม เมื่อเย็นลงนำก้อนสำลีกลม ๆ มาชุบน้ำสะเดาที่ต้มไว้ แล้วทาให้ทั่วใบหน้า - สามารถนำน้ำสะเดาที่ต้มแล้วมาผสมกับโยเกิร์ต หรือนำมาปั่นกับแตงกวา ทาให้ทั่วใบหน้าเพื่อลดความมันของผิวหน้าได้อีกด้วย รักษาผิวแห้งกร้าน -นำผงสะเดาป่น (Neem Powder) มาผสมกับน้ำมันเมล็ดองุ่น (Grape Seed Oil) ประมาณ 2-3 หยด ผสมให้เข้ากันจนเป็นเนื้อเนียนนุ่ม นำมาทาทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ 15 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น ผิวที่แห้งกร้านก็จะกลับมาเนียนนุ่มชุ่มชื่น ดูแลปัญหาเส้นผม - นำน้ำมันสะเดามาทาโคนผม แล้วนวดให้ทั่วศีรษะ ทำให้รากผมแข็งแรง - สำหรับรังแคบนหนังศีรษะ ให้นำผงสะเดาป่นผสมกับน้ำ ทาทั่วศีรษะทิ้งไว้ประมาณ 1 ชั่วโมง แล้วสระผมตามปกติ
หญ้าฝรั่น (Saffron)
เป็นเครื่องเทศที่มีราคาค่อนข้างสูง แต่คุ้มค่าถ้าได้รู้ว่าคุณประโยชน์ต่อผิวพรรณมีมากเพียงไร ขจัดผิวหมองคล้ำ - นำหญ้าฝรั่นเล็กน้อย แช่ในครีมน้ำนม (Milk Cream) ทิ้งไว้ 1 คืน แล้วนำมาปั่นให้เข้ากันในตอนเช้า จากนั้นนำมาทาให้ทั่วบริเวณผิวหมองคล้ำ ทิ้งไว้ให้แห้งแล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด ปรับโทนสีของผิว -นำน้ำกุหลาบมาผสมกับหญ้าฝรั่น คนให้เข้ากันจนกระทั่งสีน้ำกุหลาบเปลี่ยนเป็นสีหญ้าฝรั่น จากนั้นนำสำลีกลมมาชุบน้ำ แล้วนำมาทาเบา ๆ ให้ทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ให้แห้งแล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด
เกิดเป็นผู้หญิงอย่าหยุดสวย สาว ๆ อย่างเราเลยต้องบำรุงดูแลผิวพรรณผมเผ้าและรูปร่างกันอย่างเอาเป็นเอาตาย ใครแนะนำครีมดีราคาแพงเท่าไรก็สู้ไม่อั้น ทว่าคุ้มค่าแค่ไหนกับการใช้จ่ายเกินความจำเป็นเพื่อแลกกับความสวยความงาม ในเมื่อสมุนไพรใกล้บ้านก็ช่วยให้เราสวยด้วยธรรมชาติเสกได้เหมือนกันอย่างที่คุณศศินี ปัญญารัตน์ ได้ฝากข้อมูลสุขภาพไว้ในนิตยสาร Happy+ ตามบรรทัดข้างล่างนี้
อากาศร้อน ๆ อย่างนี้ จะทำอะไรก็เหงื่อไหลไคลย้อย แต่สาว ๆ ดีใจ ได้ใส่แขนกุด นุ่งสั้น โชว์ผิวงาม ๆ กันเต็มที่ ผิวสวยก็ดีไป แต่ผิวเซลลูไลท์เดี๋ยวนี้เขาก็ไม่แคร์สื่อนะคะ ประมาณว่าถ้าไม่โชว์ตอนนี้แล้วจะโชว์ตอนเหี่ยวหรือไง ก็จริงของเขาค่ะ ตอนสาว ๆ นุ่งสั้นก็ยังโอเค ตอนสูงวัยใส่แล้วไม่ค่อยเข้ากับใบหน้ายังไงก็ไม่รู้ สมุนไพรเพิ่มเติม
แต่สมัยนี้อยากเปลี่ยนจากมนุษย์ป้า เป็นสาววัยทีนแสนจะง่าย ไม่ใช่เฉพาะใบหน้านะคะ ขอบอกว่าทั้งตัวก็ยังได้ คุณหมอสมัยนี้บวกกับเทคโนโลยีสมัยใหม่อะไรก็ง่ายไปหมด ส่วนจะให้ผลระยะยาวแค่ไหน คงขึ้นอยู่กับความพอใจของลูกค้าว่าอยากกลับมาแก้ให้เด็กลงไปอีกหรือเปล่า
ดิฉันเองไม่นิยมตัดเสริม เติม แต่ง ร่างกาย เพราะไม่แน่ใจเรื่องผลข้างเคียงว่าหลังจากทำจะเป็นเช่นไร โดยเฉพาะสวยด้วยสารเคมีต้องฉีด ต้องกิน ยิ่งไม่เอาเด็ดขาดค่ะ ขออาศัยสูตรความงามแบบธรรมชาตินี้ละ สุขกายแล้วก็สบายใจด้วย ดิฉันขอนำเสนอ ต้นตำรับ (ความงาม) ส่วนประกอบสำคัญของผลิตภัณฑ์ ไม่เชื่อต้องลองค่ะ
สะเดา (Neem)
ทุกส่วนของต้นสะเดานั้นมีประโยชน์เป็นอย่างยิ่ง มาดูคุณประโยชน์ด้านความงามกันค่ะ รักษาสิว - นำใบสะเดา 2-3 ใบ มาต้ม เมื่อเย็นลงนำก้อนสำลีกลม ๆ มาชุบน้ำสะเดาที่ต้มไว้ แล้วทาให้ทั่วใบหน้า - สามารถนำน้ำสะเดาที่ต้มแล้วมาผสมกับโยเกิร์ต หรือนำมาปั่นกับแตงกวา ทาให้ทั่วใบหน้าเพื่อลดความมันของผิวหน้าได้อีกด้วย รักษาผิวแห้งกร้าน -นำผงสะเดาป่น (Neem Powder) มาผสมกับน้ำมันเมล็ดองุ่น (Grape Seed Oil) ประมาณ 2-3 หยด ผสมให้เข้ากันจนเป็นเนื้อเนียนนุ่ม นำมาทาทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ 15 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น ผิวที่แห้งกร้านก็จะกลับมาเนียนนุ่มชุ่มชื่น ดูแลปัญหาเส้นผม - นำน้ำมันสะเดามาทาโคนผม แล้วนวดให้ทั่วศีรษะ ทำให้รากผมแข็งแรง - สำหรับรังแคบนหนังศีรษะ ให้นำผงสะเดาป่นผสมกับน้ำ ทาทั่วศีรษะทิ้งไว้ประมาณ 1 ชั่วโมง แล้วสระผมตามปกติ
หญ้าฝรั่น (Saffron)
เป็นเครื่องเทศที่มีราคาค่อนข้างสูง แต่คุ้มค่าถ้าได้รู้ว่าคุณประโยชน์ต่อผิวพรรณมีมากเพียงไร ขจัดผิวหมองคล้ำ - นำหญ้าฝรั่นเล็กน้อย แช่ในครีมน้ำนม (Milk Cream) ทิ้งไว้ 1 คืน แล้วนำมาปั่นให้เข้ากันในตอนเช้า จากนั้นนำมาทาให้ทั่วบริเวณผิวหมองคล้ำ ทิ้งไว้ให้แห้งแล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด ปรับโทนสีของผิว -นำน้ำกุหลาบมาผสมกับหญ้าฝรั่น คนให้เข้ากันจนกระทั่งสีน้ำกุหลาบเปลี่ยนเป็นสีหญ้าฝรั่น จากนั้นนำสำลีกลมมาชุบน้ำ แล้วนำมาทาเบา ๆ ให้ทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ให้แห้งแล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด
รากสามสิบ สมุนไพรบำรุงสตรี แถมพ่วงสรรพคุณอื่น ๆ มาเพียบ !
รากสามสิบ สรรพคุณสมุนไพรไทยเพื่อสุขภาพที่คนอยากมีลูกห้ามพลาด
รากสามสิบ สมุนไพรนี้มีที่มา
รากสามสิบแท้จริงแล้วถูกเรียกหลายชื่อมาก ๆ เช่น สาวร้อยผัว จ๋วงเครือ (ภาคเหนือ) ผักชีช้าง ผักหนาม (ภาคอีสาน) สามร้อยราก สามสิบ ชีช้าง จั่นดิน หรือม้าสามต๋อน มีชื่อสามัญว่า Shatavari
ส่วนลักษณะต้นรากสามสิบเป็นไม้เลื้อยเนื้อแข็ง มีหนามแหลม มีเหง้าและรากใต้ดินคล้ายรากของต้นกระชาย ดอกมีขนาดเล็ก สีขาว แยกเป็นช่อ มีกลิ่นหอม เป็นต้นที่มีผลสดลักษณะกลม ผิวเรียบมัน และมีเมล็ดสีดำ สมุนไพรไทยดีๆ
สรรพคุณรากสามสิบ
รากสามสิบถูกเปรียบให้เป็นพลังแห่งการฟื้นฟูความสาว (Female Rejuvenation) เป็นยาโบราณที่หมอแผนโบราณและแพทย์สมุนไพรใช้เป็นยาบำรุงสำหรับสตรีมาตั้งแต่อดีต ซึ่งก็นับเป็นที่มาของชื่อสาวร้อยผัว ชื่อเล่นอีกชื่อของรากสามสิบนั่นเอง โดยคนโบราณมักจะนำรากมาต้มกินหรือปั้นเป็นลูกกลอนกินกับน้ำผึ้ง ซึ่งบอกต่อ ๆ กันว่า จะช่วยบำรุงสตรีให้ไมว่าจะอายุเท่าไรก็มีลูกได้ง่าย
นอกจากนี้สมุนไพรรากสามสิบยังผ่านการวิจัยสรรพคุณมามากมาย โดยพบว่า รากสามสิบมีสรรพคุณทางเภสัชวิทยาตามนี้ติดตัวอยู่ด้วย
วันพฤหัสบดีที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2558
ข่า ขับลม ขับเสมหะ แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ
ข่า ขับลม ขับเสมหะ แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ
สำนวนไทยสำนวนนี้คงเป็นสำนวนที่คนไทยส่วนไทย(สมัยนี้)คุ้นเคยเป็นอย่างดี หมายถึง “ต่างก็จัดจ้างพอๆกัน ต่างก็มีอารมณ์ร้อนพอๆกัน ต่างไม่ยอมลดละกัน” (อ้างอิงตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2525) ข้อมูลสมุนไพรเพิ่มเติม
ข่า เป็นพืชล้มลุกอยู่ในวงศ์ Zinggiberaceae เช่นเดียวกับขมิ้นและขิง ชื่อในพฤกษ์ศาสตร์คือ Alpinia galanga(Linn.) Wild. มีลำต้นใต้ดิน ส่วนบนดินมีลำต้นเทียมที่เกิดมาจากก้านใบสูงประมาณ 1-2 เมตร แตกหน่ออกเป็นกอ ใบเป็นรูปไข่ยาวออกสลับกัน ดอกมีสีขาวประจุดม่วงแดงออกตรงปลายยอดเป็นช่อ ผลของข่ามีขนาดเล็กสีเขียว ข่ามีชื่อในทางสมุนไพรว่า กฏุกกโรหินี ภาษาอังกฤษเรียกว่า Greater galangal ข่ามีถิ่นกำเนิดอยู่ในประเทศไทยและเพื่อนบ้าน ในประเทศจีนและอินเดียมีพืชลักษณะเดียวกันแต่เป็นคนละชนิด สมุนไพรไทย
ข่าในรูปอาหารไทย คนไทยนิยมนำข่ามาปรุงอาหารมากที่สุดในโลก(ก็เพราะมันมีถิ่นกำเนิดที่ไทย) นอกจากส่วนช่อดอกของข่าที่จะนำมาจิ้มโดยตรงแล้ว ยังมีการนำเอาส่วนที่เป็นลำต้นใต้ดินมาปรุงอาหารไทยหลายชนิด ถ้าหากไม่นำข่ามาปรุงอาหารไทย รสชาติของอาหารไทยคงจะผิดแปลกไปจากปัจจุบันอย่างมาก เนื่องลำต้นใต้ดินของข่านี้มีคุณสมบัติชอบดับกลิ่นคาวของเนื้อ และมีน้ำมันระเหยซึ่งมีกลิ่นฉุนและรสเผ็ดเฉพาะตัว
สมุนไพรไทยแบบกระเจี๊ยบแดงที่มีคุณสมบัติมากมาย
สมุนไพรไทยแบบกระเจี๊ยบแดงที่มีคุณสมบัติมากมาย
สรรพคุณที่ชาวไทยพบเจอนั้น โดยมากแล้วจะเป็นสมุนไพรที่เกิดขึ้นจากธรรมชาติ หรือเป็นสมุนไพรที่มนุษย์เป็นผู้สร้างขึ้นมา บางประเภทนำมาใช้เป็นยารักษาข้างนอก ข้อมูลสมุนไพรไทย
ส่วนบางประเภทนำมาเป็นยารักษาภายใน จนเป็นเหตุให้สมุนไพรไทยมีมากมายหลากหลายแบบด้วยกัน วันนี้จึงอยากจะแนะนำสมุนไพรที่อาจจะนำมาทำเป็นยาชั้นเยี่ยม
เพราะสมุนไพรไทยที่อาจจะเอามาทำเป็นยา ก็ต้องเป็นกระเจี๊ยบแดงนั่นเอง จำนวนมากแต่ละพื้นที่จะเรียกชื่อที่ต่างกันออกไป หากเป็นภาคอีสานจะเรียกว่าส้มปู แต่หากเป็นภาคเหนือจะเรียกว่าส้มเก็ง สมุนไพรชนิดนี้จะนิยมปลูกกันมากในประเทศอินเดีย มาเลเซีย
พร้อมทั้งยังรวมไปถึงเมืองไทยอีกด้วย นับได้ว่าเป็นสมุนไพรไทยที่ดีอีกแบบหนึ่ง เพราะคุณประโยชน์ของกระเจี๊ยบแดงนั้น สามารถช่วยเหลือให้ระบบย่อยอาหารได้ดียิ่งขึ้น ยิ่งไปกว่านี้แล้วยังอาจจะนำมาล้างบาทแผลได้อีกด้วย แต่ถ้าว่าต้องใช้ส่วนใบของกระเจี๊ยบเท่านั้น
ส่วนใบกลีบเลี้ยงอาจจะนำมาช่วยลดไข้ แก้อาการไอ ขับเสมหะ รวมไปถึงสามารถเอามาขับปัสสาวะได้ดีเลยเชียว
เพราะฉะนั้นสมุนไพรไทย อย่างกระเจี๊ยบแดง เป็นสมุนไพรที่คนจำนวนมากรู้จัก
แต่ไม่รู้สรรพคุณที่แท้จริงว่าอาจจะนำมาทำเป็นยาได้ดีเลยเชียว ยิ่งไปกว่านี้กระเจี๊ยบแดงยังมีสารแทนโทไซยานิน ที่ใช้ต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยเหลือในการคุ้มกันมะเร็ง แต่ไม่ว่าอย่างไรกระเจี๊ยบแดงก็อาจจะทำให้เป็นยาระบายได้เหมือนกัน สมุนไพรได้เพิ่มเติม
พร้อมทั้งนี่ก็เป็นสมุนไพรไทยที่ค่อนข้างนำมาบริโภคกันมาก แต่ถ้าว่าไม่รู้คุณสมบัติ หรือสรรพคุณอย่างครบถ้วน
สูตรขัดผิวมะขามเปียกพื้นบ้านเปลี่ยนผิวคล้ำให้ขาวกระจ่างใส
ผู้หญิงทุกคนไม่ว่าใครก็ล้วนอยากมีผิวขาว แต่หากคุณเกิดมาพร้อมกับผิวสองสี ผิวแทนหรือผิวสีน้ำผึ้งตลอดจนผิวหมองคล้ำอันเนื่องมาจากการตากแดดเป็นเวลาเนิ่นนาน ความหมองคล้ำจากแดดก็ย่อมบดบังความกระจ่างใสของผิวจนเหลือแต่เพียงความหมองคล้ำดำกร้านได้เช่นเดียวกัน วันนี้เรามีสูตรความงามที่จะช่วยเปลี่ยนสีผิวของคุณให้กลับมาขาวกระจ่างใสแบบธรรมชาติได้ค่ะ หากพร้อมแล้ว.. เรามาดูกันเลยว่ามีสูตรไหนทำอย่างไรบ้าง สมุนไพรไทย
สูตรขัดผิวด้วยมะขามเปียก มะนาว ขมิ้น โยเกิร์ตและน้ำผึ้ง ด้วยส่วนผสมจากมะขามเปียกและมะนาวที่นำมาผสมผสานกัน ยิ่งเป็นการเพิ่มสองคุณค่าจากกรดผลไม้ที่จะช่วยเร่งความกระจ่างใสให้สีผิว เพราะสองผลไม้ดังกล่าวมีฤทธิ์เป็นกรดมันจะช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าที่ตายแล้วให้หลุดออกอย่างอ่อนโยน ในขณะที่โยเกิร์ต น้ำผึ้งจะช่วยคืนความเนียนนุ่มชุ่มชื้นให้ผิวและขมิ้นก็จะช่วยจัดการแบคทีเรียบนผิวหนังให้หมดไป อีกทั้งยังมีคุณสมบัติเคลือบผิวทำให้สีผิวผุดผ่องเป็นยองใยมากขึ้น ดังนั้น สูตรนี้จึงมั่นใจได้ว่าจะช่วยเปลี่ยนผิวหมองคล้ำของคุณให้ค่อยๆ ขาวกระจ่างใสตามธรรมชาติได้อย่างแน่นอน
วิธีใช้ นำส่วนผสมทั้งหมดมาผสมรวมกัน อาจจะแยกเอามะขามเปียกไว้ต่างหากก็ได้นะคะ โดยนำมะขามเปียกมาชุบกับส่วนผสมทั้งหมดแล้วขัดผิวแทนใยบวบนั่นเอง ขัดผิวให้ทั่วเรือนร่างโดยขัดวนเป็นวงกลมไปมา จากนั้นปล่อยทิ้งไว้ 15-20 นาทีค่ะ แล้วล้างออกให้สะอาด ทำสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง ที่สำคัญหลังจากขัดผิวเสร็จแล้วอย่าลืมรีบชโลมผิวด้วยโลชั่นที่มีส่วนผสมจากไวท์เทนนิ่งทันที และทาครีมกันแดดเป็นประจำทุกวัน ไม่ว่าคุณจะอยู่ภายในบ้านก็ตามก็ต้องทาครีมกันแดดค่ะ เพราะแสงจากหลอดไฟก็แผ่รังสีที่จะทำลายผิวให้หมองคล้ำรวดเร็วได้
สูตรขัดผิวจากมะขามเปียกและวัตถุดิบอื่นๆ เหล่านี้ล้วนแล้วแต่มีคุณสมบัติช่วยผลัดผิวและเผยเซลล์ผิวใหม่ที่กระจ่างใสเปล่งปลั่ง ทำให้ผิวขาวอย่างเป็นธรรมชาติได้อย่างต่อเนื่อง เมื่อสาวๆ ทำเป็นประจำสม่ำเสมอ ควบคู่กับการกินผักผลไม้ที่ให้วิตามินแร่ธาตุและสารต้านอนุมูลอิสระอย่างเพียงพอ ดื่มน้ำสะอาดวันละ 8-10 แก้ว นอนพักผ่อนตั้งแต่หัวค่ำและหลับให้สนิทตลอดคืน มีหรือคะที่ผิวหมองคล้ำจะไม่โบกมือลาหายไป สำหรับสาวที่มีผิวแทน ผิวสองสีหรือผิวสีน้ำผึ้ง คุณก็จะพบกับผลลัพธ์ของสีผิวที่จะค่อยๆ ขาวกระจ่างใสได้เช่นเดียวกัน ไม่เชื่อ.. คงต้องลองทำตามกันแล้วค่ะ แล้วคุณจะทึ่งไปกับคุณสมบัติของสูตรภูมิปัญญาพื้นบ้านไทยเราสุดๆ เลยล่ะ สมุนไพรไทยแก้สิว
วันพุธที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2558
การนวดหิน (Stone Therapy)
การนวดหิน (Stone Therapy)
เป็นอีกประเภทหนึ่งของการนวดเมื่อเร็วๆนี้มากขึ้นคือการนวดด้วยหินร้อนหรือบำบัดด้วยหิน เมื่อคุณได้ยินครั้งแรกเกี่ยวกับเทคนิคนี้คุณอาจแปลกใจเล็กน้อย ในความเป็นจริง คนที่ไม้ได้ฝึกหัดอาจพบว่ามันยากที่จะจินตนาการว่าหินร้อนที่สามารถใช้สำหรับการนวดพวกเราอยู่ที่นี่ เพื่อจะให้ข้อมูลบางอย่างที่คุณไม่อาจทราบ แต่อยากจะบำบัดด้วยหิน สมุนไพรไทย
การบำบัดด้วยหิน และการนวดด้วนหินร้อนคืออะไร
การนวดด้วยหินร้อน เป็นชนิดของการนวดทำและหินบะซอลต์กับน้ำอุ่น หินจะว่างอยู่ที่จุดสำคัญในร่างกายของพวกเรา ที่เรียกว่าศูนย์พลังงานของเราทั้งสำหรับความดัน
ตามศิลปะของแพทย์ตะวันออกโบราณและการไหลของพลังงาน นี้จะกระทำเพื่อให้ได้อบอุ่นขึ้นดีขึ้นและผ่อนคลายของเนื้อเยื่อของกล้ามเนื้อซึ้งจะเป็น
ประโยชน์สำหรับความต่อเนื่องของการนวดการนวดด้วยหินร้อนโดยทั่วไปจะสามารถเทียบกับซาวน่ายกเว้นความแตกต่างเพียงอย่างเดียวคือความดันไม่ได้มุ้งเข้าไปที่ทั้งร่างกายแต่เฉพาะบางส่วน
การบำบัดด้วยหิน และการนวดด้วนหินร้อนคืออะไร
การนวดด้วยหินร้อน เป็นชนิดของการนวดทำและหินบะซอลต์กับน้ำอุ่น หินจะว่างอยู่ที่จุดสำคัญในร่างกายของพวกเรา ที่เรียกว่าศูนย์พลังงานของเราทั้งสำหรับความดัน
ตามศิลปะของแพทย์ตะวันออกโบราณและการไหลของพลังงาน นี้จะกระทำเพื่อให้ได้อบอุ่นขึ้นดีขึ้นและผ่อนคลายของเนื้อเยื่อของกล้ามเนื้อซึ้งจะเป็น
ประโยชน์สำหรับความต่อเนื่องของการนวดการนวดด้วยหินร้อนโดยทั่วไปจะสามารถเทียบกับซาวน่ายกเว้นความแตกต่างเพียงอย่างเดียวคือความดันไม่ได้มุ้งเข้าไปที่ทั้งร่างกายแต่เฉพาะบางส่วน
ทำไมต้องเป็นหินบะซอลต์
บะซอลต์เป็นหินภูเขาไฟสีดำที่อุดมไปด้วยแร่ธาตุที่มีความสามารถโดยธรรมชาติในการดูดซับและเก็บ ความร้อนซึ้งสามารถบรรเทาความเครียดและความตึงเครียดของกล้ามเนื้อ
หินที่ใช้สำหรับการนวดจะขัดและมีรูปร่างที่แตกต่างคุณลักษณะที่โดดเด่นของการรักษาด้วยหินและการนวดหินร้อนคือความหลากหลายที่ดีของรูปร่างและน้ำหนักที่แตกต่างกันที่ใช้ในการนวดส่วนต่างๆของร่างกาย ตัวอย่างเช่นสิ่งที่เล็กที่สุดของเขาจะอยู่ระหว่างนิ้วเท้า
นอกเหนือจากหินบะซอลต์ ที่หินซึ่งมีค่าต่างๆที่สามารถใช้สำหรับประเภทอื่นๆของการนวดหินยกเว้นว่าพวกเขาจะไม่ได้รับความร้อน
สิ่งที่เป็นประโยชน์ของการนวดหินร้อน
การนวดหินร้อนและการรักษา ด้วยหินผลกระทบเชิงบวกอย่างมากทั่วทั้งร่างกาย ในระดับที่ทางสรีรวิทยาจะส่งเสริมการผ่อนคลายอย่างลึกของเนื้อเยื่อที่บรรเทาความตึงเครียดและความเครียด นอกจากนี้หินที่นวดบรรเทาอาการปวดหลังและปวดเมื่อยกล้ามเนื้อในการปรับปรุงไหลเวียนของเลือดกระตุ้นการเผาผลาญอาหารแหละแหละผลักดันการกำจัดสารพิษและสารอาหารอันตรายอื่นๆในระดับทางจิตวิทยาขั้นตอนการนวดด้วยหินร้อนมีผลสงบเงียบเพื่อช่วยกำจัดความวิตกกังวลและภาวะซึมเศร้าและเอาชนะความเครียด
นอกจากนี้ การนวดหินร้อน มีผลการรักษา และการใช้งานในการรักษาโรคข้อเท้าอักเสบ โรคหัวใจและหลอดเลือด และโรคนอนไม่หลับ
ผู้คิดค้นการนวดหิน
ศิลปะของการนวดด้วยหินร้อนเป็นที่รุ้จักกัน จากเวลานมนานเป็นเวลาหลายศตวรรษ มันถูกใช้ใน ส่วนต่างๆของโลกทั้งการปรับปรุง เทคนิค ของการนวดด้วยหิน และ ความลับของการเรียนรู้ผลกระทบของมันในร่างกาย โรงเรียนที่ทันสมัยของการนวดนี้นวดด้วยหินร้อนจะขึ้นอยู่กับความรู้และทักษะของหมอโบราณ บทบาทสำคัญในการส่งเสริมประเภทของการนวดนี้กำลังเล่น Hannigan - ที่ในปี – 1993 ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ของศตวรรษที่ผ่านมาการประดิษฐ์คิดค้นระบบของตัวเอง อเมริกัน แมรรี่ ของเธอของการนวด หินร้อน เรา เรียกมันว่าการรักด้วยหิน ตั้งแต่ นั้นมา หินร้อน นอกจากนี้การนวดหินร้อนมีผลการรักษาและนำมาใช้ในการนวดที่มีการแพร่กระจายอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่ใน สหรัฐอเมริกา แต่ในยุโรปเช่นกัน วันนี้ให้บริการที่มีให้ในขั้นตอนนี้ นวดแผนไทย
นานแค่ไหนนวดด้วยหินไม่มีอายุการใช้งาน การนวดด้วยหินร้อนมักจะใช้เวลา 60 – 90 นาที
มีคำแนะนำใดๆ สำหรับการนวดหินร้อน
ดยปกติการนวดหินร้อนไม่ได้ เตือนสำหรับคนส่วนใหญ่ แต่ถ้าคุณมีโรคติดต่อทางผิวหนัง ผื่นแผลเป็น หรือ ถ้าเลือดคุฯมีแนวโน้มจะหนา (เข้มข้น) การนวดหินร้อนไม่แนะนำ เหตุผลที่จะหลีกเลี่ยงการนวดด้วยหินก็คือ เซสชั่น การผ่าตัดเมื่อเร็วๆนี้รักการรักษาด้วยรังสี หรือเคมี
ไม่นวดหินร้อนต้องเปลือยกาย
โดยปกติแล้ว การนวดหินร้อน จะดำเนินการให้กับลูกค้าในเปลือยกาย แต่ถ้าคุณไม่ชอบมัน คุณสามารถสวมใส่ ชุดชั้นใน
โดยสรุป แม้หลังจากที่ได้อ่าน ข้อมูลทั้งหมดของเราในการบำบัดด้วยหินและการนวดด้วยหินร้อน ที่คุณไม่ได้ จะมีความคิดที่สมบูรณ์ เกี่ยวกับขั้นตอนนี้จนกว่าคุณจะลองด้วยตัวคุณเอง และแน่นอนมันเป็นไปไม่ได้ ที่จะได้รับอารมณ์ในเชิงบวก และผลกระทบ ที่น่าประทับใจโดยไม่ได้รับตัวเอง คุ้นเคยกับขั้นตอน
วันเสาร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2558
วิธีดับกลิ่นปาก ที่สาว ๆ ต้องรู้...
สยบปัญหา กลิ่นปากสุดสยอง (Lisa)
ไม่ว่าคุณจะหุ่นเริ่ด หน้าเป๊ะแค่ไหน แต่ถ้าปากมีกลิ่นเมื่อไหร่ ความงามก็คงหายวับไปกับตาทันที แต่ทำไม้-ทำไมแปรงฟันจนมั่นใจว่าสะอาดทุกซี่ กลิ่นไม่พึงประสงค์ก็ยังติดแน่นจนหมดความมั่นใจอยู่อีก ? บางคนอาจมองว่ากลิ่นปากเป็นเรื่องเล็ก ๆ ไม่เจ็บไม่ปวดไม่ใช่โรคร้ายแรงต้องรีบรักษา แต่สำหรับคนที่มีปัญหานี้ Lisa เชื่อว่ากลิ่นปากไม่ใช่ปัญหาจิ๊บ ๆ แน่นอน "นอกเหนือจากปัญหาทางกาย เช่น การอักเสบ ที่อาจเป็นต้นเหตุของกลิ่นแล้ว กลิ่นปากยังทำให้คุณบุคลิกภาพไม่ดี สูญเสียความมั่นใจ บางคนก็อาจมีภาวะเครียด" นพ. สรัลชัย เกียรติสุระยานนท์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโสต ศอ นาสิก กล่าว "และบางทีปัญหานี้ก็อาจส่งผลกระทบถึงหน้าที่การงาน แล้วก็ความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับคนใกล้ตัวได้ด้วย" ต้นตอของกลิ่นอันร้ายกาจ
สุขภาพของเหงือกและฟันเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดกลิ่นปากก็จริง แต่ก็ไม่ใช่สาเหตุเดียว "กลิ่นปากเป็นก๊าซเหม็นที่เกิดขึ้นในร่างกายและออกมาทางลมหายใจ ต้นตออาจจะมาจากปาก คอ หรือจมูกก็ได้ทั้งนั้น" คุณหมอสรัลชัยอธิบายว่า สาเหตุหลัก ๆ ที่มักจะทำให้คุณมีกลิ่นปากก็คือ
- ระบบช่องปาก เช่น ฟันผุ เหงือกอักเสบ ตลอดจนการอักเสบในช่องปากอื่น ๆ
- ระบบโรคทางคอและจมูก เช่น ไซนัสอักเสบ โพรงจมูกอักเสบ ลำคออักเสบ ทอนซิลอักเสบ และนิ่วในต่อมทอนซิล
- ระบบทางเดินอาหาร เช่น ภาวะท้องอืด โรคแผล เรื้อรังในกระเพาะอาหาร และโรคกรดไหลย้อน
แปรงฟันสะอาดแล้ว แต่กลิ่นยังอยู่
หากไปพบทันตแพทย์ตรวจรักษาจนแน่ใจว่าฟันของคุณแข็งแรงดีไม่มีซี่ไหนผุ และไม่มีอาการเหงือกอักเสบแล้ว แต่กลิ่นปากก็ยังไม่ยอมจากไป คุณคงต้องพบคุณหมอผู้เชี่ยวชาญด้านหู คอ จมูก ดูสักหน่อย คุณหมอชี้ว่า "หากไม่ได้มีสาเหตุมาจาก เหงือกและฟัน อาการกลิ่นปากเรื้อรังมักเกิดจากผู้ป่วยมีนิ่วในต่อมทอนซิล (Tonsil Stone) จากการศึกษาในต่างประเทศพบว่านิ่วในต่อมทอนซิลพบได้ประมาณ 6% ของกลุ่มประชากรทั่วไป ส่วนในประเทศไทยยังไม่มีการทำสถิติออกมา แต่ถ้าประเมินคร่าว ๆ ก็น่าจะไม่ต่ำกว่า 4-5 ล้านคน"
นิ่วทอนซิล เม็ดเล็ก ๆ แต่กลิ่นแรงมาก
การจะตรวจพบนิ่วในต่อมทอนซิลนั้นบางครั้งต้องใช้เครื่องมือในการตรวจละเอียดโดยแพทย์เฉพาะทาง หู คอ จมูก แต่บางครั้งแค่คุณอ้าปากขึ้นมาก็อาจจะเห็นก้อนสีขาว ๆ เหลือง ๆ ที่ติดอยู่ตรงต่อมทอนซิลได้ชัดเจน ซึ่งนั่นไม่ใช่เศษอาหาร แต่เป็นก้อนที่เกิดจากการหมักหมมของน้ำลายผสมกับเศษอาหาร เศษเนื้อตายของต่อมทอนซิล และแบคทีเรียที่ไม่ต้องการอากาศ ซึ่งเจ้าแบคทีเรียตัวนี้นี่แหละจะสร้างแก๊สไข่เน่าขึ้นมารอบ ๆ ก้อนนิ่ว พอลมหายใจผ่านก้อนนี้ออกมา กลิ่นก็เลยเหม็นคลุ้งไปหมด ใคร ๆ ก็มี
นิ่วทอนซิลได้ทั้งนั้น ?
เหตุผลที่เดี๋ยวนี้มีคนเป็นนิ่วในต่อมทอนซิลมากขึ้นเรื่อย ๆ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะการผ่าตัดต่อมทอนซิลเพื่อรักษาทอนซิลอักเสบน้อยลง ทำให้คนเป็นต่อมทอนซิลอักเสบเรื้อรังกันมากขึ้น และเมื่อเกิดการอักเสบบ่อย ๆ ต่อมนี้ก็จะมีการเปลี่ยนแปลงสภาพ โดยร่องรอบ ๆ ต่อมที่ปกติมีขนาดเล็ก ๆ เท่าเข็มหมุดจะขยายใหญ่ขึ้นจนคล้ายถุง ทำให้เศษอาหารและแบคทีเรียเข้าไปสะสมอยู่นั่นเอง นอกจากนี้ยาปฏิชีวนะหลายชนิดที่ใช้ในการรักษาต่อมทอนซิลอักเสบยังทำให้น้ำลายในช่องปากน้อยลงอีกด้วย "แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะต้องมีนิ่ว ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องขึ้นกับภูมิต้านทานของแต่ละคนด้วย" คุณหมออธิบายเพิ่มเติม
ต่อมทอนซิลซ่อมได้ ไม่ต้องตัดทิ้ง
เมื่อต้นตอเกิดจากการที่ต่อมทอนซิลเปลี่ยนสภาพไป หากจะกำจัดปัญหาให้หายขาดก็คงต้องผ่าตัด แต่ด้วยเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นจึงไม่จำเป็นต้องตัดทิ้งไปอีกแล้ว "ต่อมทอนซิลมีหน้าที่ดักเชื้อโรคไม่ให้เข้าสู่ร่างกาย และเปลือกเยื่อหุ้มรอบนอกของต่อมนี้ยังทำให้ผนังด้านข้างลำคอแข็งแรง ช่วยค้ำเพดานอ่อนและลิ้นไก่ หากผ่าตัดต่อมทอลซิลทิ้งไปทั้งหมดอาจจะทำให้นอนกรนและมีการหยุดหายใจขณะหลับตามมาได้" "วิธีที่ดีและทันสมัยกว่าคือการรักษาด้วยเลเซอร์ โดยผู้ป่วยไม่ต้องตัดทั้งต่อมทอนซิลทิ้งไป แถมยังเสียเลือดน้อย ฟื้นตัวได้เร็ว และนอนค้างที่โรงพยาบาลเพียงแค่หนึ่งคืนเท่านั้น"
จะรักษาหรือไม่ ขึ้นอยู่กับตัวเราเอง
"ปัญหานี้ไม่ได้เหมือนไส้ติ่งอักเสบ หรือโรคอื่น ๆ ที่จำเป็นต้องรีบรักษา ไม่อย่างนั้นจะเจ็บจะปวด หรืออาจเป็นอันตรายถึงชีวิต มันคล้ายกับพวกฟันผุ จะรักษาหรือไม่นั้นก็ขึ้นอยู่กับคุณเอง ถ้าคุณรับได้และไม่คิดว่ากลิ่นเป็นปัญหากับชีวิตก็เป็นการตัดสินใจของคุณเอง" คุณหมอกล่าวทิ้งท้าย
อาการอย่างนี้น่าสงสัย !
คุณอาจจะมีนิ่วที่ต่อมทอนซิลซึ่งเป็นสาเหตุของกลิ่นปากโดยไม่รู้ตัวก็ได้ ลองสังเกตดูว่า คุณมีอาการเหล่านี้หรือไม่ - ระคายคอ รู้สึกเหมือนมีเสมหะในลำคอต้องกระแอมบ่อย ๆ - ต่อมทอนซิลอักเสบเรื้อรัง - ถ้าไปออกกำลังกายหนัก หรือพักผ่อนน้อยเมื่อไหร่ จะมีไข้รุม ๆ ไม่สบายตัว เจ็บคอนิดหน่อยตรงต่อมทอนซิล และอาจมีอาการอ่อนเพลียสุด ๆ
เช็กสิ ! คุณมีกลิ่นปากหรือเปล่า ?
- เชื่อหรือไม่ คนที่มีกลิ่นปากกว่าครึ่งไม่รู้ตัวว่าลมหายใจของตัวเองมีกลิ่น วิธีตรวจสอบคือ
- วิธีที่เราใช้กันบ่อย ๆ หายใจเข้าให้เต็มที่ ใช้มือป้องปากและจมูกเอาไว้แล้วหายใจออกจากปาก จากนั้นสูดลมหายใจเข้าทางจมูก
- บ้วนน้ำลายออกมาแล้วลองดมดู ปกติน้ำลายเป็นสารคัดหลั่งที่สะอาด ถ้ามีกลิ่นแสดงว่ามีการปนเปื้อนของเชื้อโรค และอาจเป็นไปได้ว่าน้ำลายนั่นผ่านนิ่วที่ต่อมทอนซิลออกมา
เผย 6 วิธี ผิวหน้าสวย ด้วยแตงกวา!
เผย 6 วิธี ผิวหน้าสวย ด้วยแตงกวา!
แตงกวาเป็นสมุนไพรเก่าแก่ชนิดหนึ่ง สาวๆ ทั่วโลกใช้เป็นเครื่องสำอางดูแลผิวหน้ามาอย่างยาวนาน แตงกวาช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น ทำให้ผิวหนังสดชื่น เพิ่มความยืดหยุ่น ลดการบวมแดง ช่วยสมานผิว ช่วยให้ผิวพรรณเยาว์วัย แตงกวาเหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหน้าแห้ง หน้ามันวีธีที่ 1 ปอกเปลือกแตงกวาแล้วล้างน้ำให้สะอาด ฝานเป็นชิ้นบ้างๆ วางให้ทั่วใบหน้าที่ทำความสะอาดแล้ว ทำบ่อยๆ จะทำให้ใบหน้าดูผุดผ่อง เปล่งปลั่งขึ้น และยังช่วยรักษาฝ้าบนใบหน้าได้อีกด้วย
วิธีที่ 2 ปอกเปลือกแตงกวาแล้วล้างให้สะอาด หั่วแตงกวาแล้วปั่น กรองหรือคั่นเอาแต่น้ำเก็บไว้ใช้ทา ไม่ควรเก็บไว้นานเกิน 2 วัน ใช้น้ำแตงกวาที่เตรียมมาทาใบหน้าเป็นประจำจะช่วยลดจุดด่างดำ รอยฝ้าที่เกิดการการผจญแสงแดดและมลพิษระหว่างวัน ช่วยบำรุงผิว
วิธีที่ 3 ใช้แตงกวาสดปั่นละเอียด 2-3 ผล ผสมกับน้ำผึ้ง 1/4 ถ้วย หรือ 1/2 ถ้วย ปั่นให้ละเอียด นำมาพอกหน้าทิ้งไว้ 10 นาทีแล้วล้างออก ทำทุกวันก่อนนอน จะเหมาะกับคนผิวแห้ง ทำให้ผิวหน้านุ่มนวลขึ้น
วิธีที่ 4 ใช้แตงกวาปั่นละเอียด 2-3 ผล โดยผสมกับไข่ขาวดิบตีจนฟู 1 ฟอง น้ำมะนาว 1 ช้อนชา ผสมจนเป็นเนื้อเดียวกัน นำมาพอกทิ้งไว้ 10-15 นาที ช่วยลดความมันบนใบหน้า กำจัดสิวเสี้ยน ทำให้หน้าเกลี้ยงเกลาขึ้น
วิธีที่ 5 ใช้แตงกวาฝานเป็นแว่นแปะที่ดวงตา แตงกวาสดจะมีเอนไซม์ย่อยเซลล์ที่ตายแล้ว ทำให้เซลล์บริเวณรอบดวงตาเย็น การเกณ้งตัวของกล้ามเนื้อลดลง ริ้วรอยน้อยลง
วิธีที่ 6 ใช้แตงกวาสดใหม่ทั้งผลปั่นละเอียด ผสมน้ำผึ้งพอเหลว นำมาพอกหน้าทิ้งไว้สักครู่และล้างออกด้วยน้ำอุ่น ช่วยบำรุงผิวหน้าให้ชุ่มชื้น ไม่แห้งแตกเป็นขุย
วันศุกร์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2558
พืชสมุนไพร ประเภท ยาถ่าย ยาระบาย
ขี้เหล็ก
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Cassod Tree, Thai Copper Pod, Senna Siamea (Lamk.) H.S.Irwin et R.C.Bameby (Cassia siamea Lamk.)ชื่อวงศ์ : FABACEAE
ชื่ออื่น : ขี้เหล็กแก่น, ขี้เหล็กบ้าน, ขี้เหล็กหลวง, ขี้เหล็กใหญ่
รูปลักษณะ : ขี้เหล็ก เป็นไม้ยืนต้น สูง 10-15 เมตร ใบประกอบแบบขนนก เรียงสลับ ใบย่อยรูปขอบขนาน กว้างประมาณ 1.5 ซม. ยาว 4 ซม. ใบอ่อนมีขนสีน้ำตาลแกมเขียว ดอกช่อ ออกที่ปลายกิ่ง กลีบดอกสีเหลือง ผลเป็นฝัก แบบยาวและหนา สรรพคุณของ ขี้เหล็ก : ใบอ่อน, ดอกตูมและแก่น มีสารกลุ่มแอนทราควิโนนหลายชนิด จึงมีฤทธิ์เป็นยาระบาย ใช้ใบอ่อนครั้งละ 2-3 กำมือ ต้มกับน้ำ 1-1.5 ถ้วย เติมเกลือเล็กน้อย ดื่มก่อนอาหารเช้าครั้งเดียว นอกจากนี้ยังพบสารซึ่งมีฤทธิ์กดประสาทส่วนกลาง ทำให้นอนหลับ โดยใช้วิธีนำมาดองเหล้า ดื่มก่อนนอน
*********************************************************************************
คูน
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Golden Shower Tree, Purging Cassia, Cassia fislula Linn.
ชื่อวงศ์ : FABACEAE
ชื่ออื่น : ราชพฤกษ์, ลมแล้ง
รูปลักษณะ : คูน เป็นไม้ยืนต้น สูง 5-15 เมตร ใบประกอบแบบขนนก เรียงสลับ ใบย่อยรูปไข่หรือรูปวงรี กว้าง 4-8 ซม. ยาว 7-12 ซม. ดอกช่อ ออกที่ปลายกิ่ง ห้อยเป็นโคมระย้า กลีบดอกสีเหลือง ผลเป็นฝักกลม สีน้ำตาลเข้มหรือดำ เปลือกแข็ง ผิวเรียบ ภายในมีผนังกั้นเป็นห้อง แต่ละห้องมีเมล็ด 1 เมล็ด มีเนื้อหุ้มเมล็ดสีดำเหนียว สรรพคุณของ คูน : เนื้อหุ้มเมล็ดสีดำ มีกลุ่มสารแอนทราคิวโนน เป็นยาระบาย โดยใช้ขนาดก้อนเท่าหัวแม่มือ (ประมาณ 4 กรัม) ต้มกับน้ำ ใส่เกลือเล็กน้อย ดื่มก่อนนอน ดอก เป็นยาระบาย และแก้ไข้
*********************************************************************************
ชุมเห็ดเทศ
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Seven Golden Candle Stick, Ringworm Bush, Senna alata (Linn.) H.S.Irwin et R.C.Barneby (Cassia alata Linn.)
ชื่อวงศ์ : FABACEAE
ชื่ออื่น : ขี้คาก, ลับมืนหลวง, หมากกะลิงเทศ, ชุมเห็ดใหญ่
รูปลักษณะ : ชุมเห็ดเทศ เป็นไม้พุ่มสูง 1-3 เมตร แตกกิ่งออกด้านข้างในแนวขนานกับพื้น ใบประกอบแบบขนนก เรียงสลับ ใบย่อยรูปขอบขนาน รูปวงรีแกมขอบขนาน หรือรูปไข่กลับ กว้าง 3-7 ซม. ยาว 6-15 ซม. หูใบเป็นรูปสามเหลี่ยม ดอกช่อ ออกที่ซอกใบตอนปลายกิ่ง กลีบดอกสีเหลืองทอง ใบประดับสีน้ำตาลแกมเหลือง หุ้มดอกย่อยเห็นชัดเจน ผลเป็นฝัก มีครีบ 4 ครีบ เมล็ดแบน รูปสามเหลี่ยม สรรพคุณของ ชุมเห็ดเทศ : ใบสด ใช้เป็นยารักษากลากเกลื้อนได้ผลดี โดยตำแช่เหล้า เอาส่วนน้ำเหล้าทาบริเวณที่เป็นวันละ 2-3 ครั้ง จนกว่าจะหาย พบว่าผู้ป่วยที่ติดเชื้อราที่ผม และเล็บใช้ไม่ได้ผล ใบและดอก มีสารกลุ่มแอนทราควิโนน เช่น Rhein, Emodin และ Aloeemodin ใช้เป็นยาระบาย ที่กระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ใหญ่ ต้มใบแห้งครั้งละ 12 ใบ หรือชงน้ำดื่มก่อนนอน หรือทำเป็นยาลูกกลอน หรือใช้ดอกสด 2-3 ช่อ ต้มกินเป็นผักจิ้ม ไม่ควรกินติดต่อกันนาน เพราะจะทำให้ลำไส้ชินยา และไม่ทำงานตามปกติ สตรีมีครรภ์ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้
*********************************************************************************
ตองแตก
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Baliospermum montanum (Willd.) Muell. Arg.
ชื่อวงศ์ : EUPHORBIACEAE
ชื่ออื่น : ตองแต่, ถ่อนดี, ทนดี, นองป้อม, ลอมปอม
รูปลักษณะ : ตองแตก เป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก สูง 1-2 เมตร ยอดอ่อนมีขน ใบเดี่ยว เรียงสลับ ใบที่บริเวณยอดรูปใบหอกหรือรูปวงรี กว้าง 3-4 ซม. ยาว 6-7 ซม. ใบที่บริเวณโคนต้นมักมีขอบหยักเว้าเป็น 3-5 แฉก รูปขอบขนานแกมรูปไข่ กว้าง 7-8 ซม. ยาว 15-18 ซม. ดอกช่อ แยกเพศอยู่บนต้นเดียวกัน หรือบนช่อเดียวกัน ออกที่ซอกใบ ดอกตัวผู้มีจำนวนมาก อยู่ตอนบนของช่อ ไม่มีกลีบดอก กลีบเลี้ยงสีเหลืองแกมเขียว 4-5 กลีบ ดอกตัวเมียออกที่โคนช่อ ไม่มีกลีบดอก ผลแห้ง แตกได้ มี 3 พู สรรพคุณของ ตองแตก : ใบแห้ง ใช้ต้มน้ำดื่มเป็นยาถ่าย เมล็ด เป็นยาถ่ายอย่างแรง ราก ต้มน้ำดื่มหรือฝนน้ำกิน เป็นยาถ่ายที่ไม่รุนแรง ถ่ายลมเป็นพิษ (ผื่นคันหรือตุ่มหนองที่ผิวหนัง) ถ่ายพิษพรรดึก (อาการที่เกิดจากท้องผูก ถ่ายเป็นก้อนแข็งคล้ายขี้แพะ) ถ่ายเสมหะเป็นพิษ (เช่น เสมหะเขียว)
สมุนไพรสลายไขมัน (สูตรเข้มข้นพิเศษ) ลดน้ำหนัก สมุนไพร สลายไขมัน ผอม อ้วน สมุนไพรสลายไขมัน สมุนไพรลดน้ำหนัก ลดไขมัน
สมุนไพรสลายไขมัน (สูตรเข้มข้นพิเศษ)
บันทึกนี้มี 4 ช่วงค่ะ (รูปเยอะ ช่วงท้ายๆจะมีรีวิวลูกค้ามาให้ชมเยอะมากค่ะ)
1. รูปของผลิตภัณฑ์ สมุนไพรสลายไขมัน (สูตรแรงและเข้มข้นพิเศษ) สมุนไพรล้วนๆ แท้ๆ แรงและเข้มข้นเลย และเป็นสูตรพิเศษที่ไม่มีใครลอกเลียนแบบได้ ขายดีมากๆค่ะ ลูกค้าเยอะมาก ลงกันดี ลงกันไวเลยค่ะ ลูกค้าเก่ามาสั่งเพิ่มกันคนละหลายๆกระปุกเลยค่ะ ฝากสั่งซื้อเข้ามาเยอะมาก
2. รูปหมวยเองค่ะ ก่อนและหลัง ให้เห็นความแตกต่างระหว่าง 105 โล กับ 55 โลค่ะ ลด 50 โลใน 10 เดือนค่ะ
3. อธิบายเรื่องราว สรรพคุณของสมุนไพรทั้ง 5 ชนิดแบบเข้มข้นกันเลย และวิธีทาน และการปฏิบัติตัวระหว่างที่ทานสมุนไพรสลายไขมัน (สูตรเข้มข้นพิเศษ) ค่ะ
4. รูปปัจุบันหมวยค่ะ น้ำหนัก 55 โล ไม่กลับมาอ้วน หรือ โยโย่อีกค่ะ
หมวยลด 50 โลโน 10 เดือน ด้วยสมุนไพรสลายไขมัน(สูตรเข้มข้นพิเศษ) จาก 105 กิโล เหลือ 55 กิโล ภายใน 10 เดือนไม่ใช่เรื่องยากเลย ลูกค้าสมุนไพรหมวยเยอะมากๆ ก็ผอมลงกันเยอะหลายท่าน เพราะด้วยความพิเศษเฉพาะตัว
สูตรแรงและเข้มข้นที่ไม่มีใครลอกเลียนแบบได้ ทางบริษัทได้ปรับปรุงสูตรขึ้นมาใหม่ เป็นครั้งที่ 3 โดยการเพิ่ม พริกไทยดำ ส้มแขก และมะขามแขก ทั้ง 3 ตัวให้เข้มข้นขึ้นอีก 10% จึงขายดีมากๆค่ะ สมุนไพรสลายไขมัน เป็นสมุนไพรสกัด (เข้มข้นพิเศษ)
ประกอบด้วย พริกไทยดำ (เข้มข้น) ส้มแขก (เข้มข้น) ดอกคำฝอย มะขามแขก และสมอไทยค่ะ สมุนไพรช่วยเร่งให้การเผาผลาญดีขึ้น ทำให้น้ำหนักลงไวขึ้น และช่วยลดไขมันส่วนเกิน ค่อยๆสลายไขมันเก่าสะสมออกเรื่อยๆ เมื่อเซลล์ไขมันถูกสมุนไพรสูตรเข้มข้นทำลาย
ทำให้ไขมันหายไปจริง จึงไม่กลับมาอ้วนหรือโยโย่อีกเลยค่ะ ตัวนี้สูตรเข้มข้นเลยค่ะ เป็นสูตรพิเศษ เพื่อคนดื้อยามาก่อนหรือลงยากๆ ก็ค่อยๆลงได้ค่ะ จากวันที่หนัก 105 โล หมวยคิดว่าไม่ได้แล้วล่ะ เราปล่อยตัวให้อ้วนแบบนี้มาหลายปีและ เราต้องมีอนาคตใหม่ เราต้องเริ่มต้นสิ่งใหม่ เพื่อตัวเราเอง เพื่อครอบครัว และเพื่อสุขภาพของเราด้วย เมื่อมีเป้าหมายแล้ว
หมวยก็ตั้งใจลดน้ำหนักเต็มที่ ครั้งนี้เราต้องตั้งใจจริงๆ หมวยทานสมุนไพรเพื่อเร่งเผาผลาญแคลอรี่และไขมัน และความมีวินัยของหมวยด้วย ไม่ทานพวกของมันๆ หวานๆ ทอดๆ ทานจุกจิก น้ำหวาน น้ำอัดลม น้ำหนักหมวยก็ลงได้เรื่อยๆค่ะ
เมื่อลดไปได้ระดับหนึ่ง ระบบการเผาผลาญเราดีขึ้นแล้วหลังทานสมุนไพร หมวยก็อยากให้ผอมเร็วขึ้นไปอีก ก็ไปออกกำลังกายค่ะ ลงไวมากๆ ลงไวเว่อร์ๆเลยค่ะ ไม่ยากเลยค่ะ หากเรามีวินัยและมีความตั้งใจ และทานสมุนไพรเพื่อเป็นตัวช่วยในการเร่งเผาผลาญให้ลงไวขึ้นไปอีก เป็นสิ่งที่ดีมากๆ ผอมลงได้เร็วเลยค่ะ
เหมือนลูกค้าหมวยหลายๆท่าน ผอมลงกันเร็ว ลดลงได้ไวมาก บ้างก็ไปกระโดดเชือก ไปเต้น ไปวิ่ง ว่ายน้ำ เดินไกลๆ ทำงานบ้าน หากิจกรรมต่างๆทำควบคู่ร่วมกันไปด้วย ผอมลงกันไวเลยค่ะ บางท่านลงกันเดือนละ 7-10 โลกันเลยค่ะ ลดเก่งกว่าสมัยหมวยลดอีกค่ะ
เมื่อผอมแล้วก็หยุดทานได้เลยค่ะ ไม่กลับมาอ้วนอีก เพราะเซลล์ไขมันต้องหายไปจริงๆ พอผอมแล้วจากนั้นเราจะรู้จักปรับปรุงพฤติกรรมของเราได้เองเลย แล้วหมวยก็ปรับเปลี่ยนบุคลิกใหม่ๆ มันคุ้มค่าจริงๆค่ะกับสิ่งที่ทุ่มเทลงใหม่ หมวยปรับสไตล์การแต่งหน้า การแต่งตัวใหม่ เรียกว่าผอมแล้วมันมั่นใจจริงๆค่ะ อะไรดีๆก็เข้ามาค่ะ
บันทึกนี้มี 4 ช่วงค่ะ (รูปเยอะ ช่วงท้ายๆจะมีรีวิวลูกค้ามาให้ชมเยอะมากค่ะ)
1. รูปของผลิตภัณฑ์ สมุนไพรสลายไขมัน (สูตรแรงและเข้มข้นพิเศษ) สมุนไพรล้วนๆ แท้ๆ แรงและเข้มข้นเลย และเป็นสูตรพิเศษที่ไม่มีใครลอกเลียนแบบได้ ขายดีมากๆค่ะ ลูกค้าเยอะมาก ลงกันดี ลงกันไวเลยค่ะ ลูกค้าเก่ามาสั่งเพิ่มกันคนละหลายๆกระปุกเลยค่ะ ฝากสั่งซื้อเข้ามาเยอะมาก
2. รูปหมวยเองค่ะ ก่อนและหลัง ให้เห็นความแตกต่างระหว่าง 105 โล กับ 55 โลค่ะ ลด 50 โลใน 10 เดือนค่ะ
3. อธิบายเรื่องราว สรรพคุณของสมุนไพรทั้ง 5 ชนิดแบบเข้มข้นกันเลย และวิธีทาน และการปฏิบัติตัวระหว่างที่ทานสมุนไพรสลายไขมัน (สูตรเข้มข้นพิเศษ) ค่ะ
4. รูปปัจุบันหมวยค่ะ น้ำหนัก 55 โล ไม่กลับมาอ้วน หรือ โยโย่อีกค่ะ
สมุนไพรสลายไขมัน ประกอบด้วยสมุนไพรเข้มข้นทั้ง 5 ชนิด
นอกจากนี้สมุนไพรจะดักจับแป้งและน้ำตาล ไม่ให้เปลี่ยนไปเป็นไขมัน และยังลดความดัน ลดไขมันในเลือด ลดน้ำตาลในเลือด บำรุงโลหิต บำรุงหัวใจ บำรุงประสาทด้วยค่ะ หลายๆท่านซื้อให้คุณพ่อคุณแม่ทาน เบาหวานลดลง ไขมันในเลือดลดลง น้ำตาลในเลือดลดลง รีวิวมาให้ในเฟสเยอะมาก เรียกว่าสรรพคุณครอบทั้ง 5 ได้อย่างลงตัวเลยค่ะ ลองทานสมุนไพรดูนะคะ เป็นตัวช่วยอีกทางเลือกหนึ่ง หลายท่านลงกันไวเลยค่ะ สมุนไพรล้วนๆ แท้ๆ สูตรเข้มข้นเลยค่ะ เร่งเผาผลาญแคลอรี่และไขมัน ทำให้น้ำหนักลงไวขึ้นค่ะ ทำลายเซลล์ไขมันให้ค่อยๆหายไปจริง จึงทำให้ไม่กลับมาอ้วน หรือโยโย่ค่ะ สมุนไพรสลายไขมัน(สูตรปรับปรุงใหม่ครั้งที่ 3 แรงและเข้มข้นพิเศษ) สมุนไพรล้วนๆแท้ๆ สูตรพิเศษที่ไม่มีใครลอกเลียนแบบได้ ราคากระปุกละ 600 บาทค่ะ มี 150 แคปซูล ทานได้ 2 เดือนค่ะ ตัวนี้สูตรเข้มข้นเลยค่ะ สามารถปรับเพิ่มแคปซูลได้ หลายท่านน้ำหนักลงไวเลยค่ะ
สูตรแรงและเข้มข้นที่ไม่มีใครลอกเลียนแบบได้ ทางบริษัทได้ปรับปรุงสูตรขึ้นมาใหม่ เป็นครั้งที่ 3 โดยการเพิ่ม พริกไทยดำ ส้มแขก และมะขามแขก ทั้ง 3 ตัวให้เข้มข้นขึ้นอีก 10% จึงขายดีมากๆค่ะ สมุนไพรสลายไขมัน เป็นสมุนไพรสกัด (เข้มข้นพิเศษ)
ประกอบด้วย พริกไทยดำ (เข้มข้น) ส้มแขก (เข้มข้น) ดอกคำฝอย มะขามแขก และสมอไทยค่ะ สมุนไพรช่วยเร่งให้การเผาผลาญดีขึ้น ทำให้น้ำหนักลงไวขึ้น และช่วยลดไขมันส่วนเกิน ค่อยๆสลายไขมันเก่าสะสมออกเรื่อยๆ เมื่อเซลล์ไขมันถูกสมุนไพรสูตรเข้มข้นทำลาย
ทำให้ไขมันหายไปจริง จึงไม่กลับมาอ้วนหรือโยโย่อีกเลยค่ะ ตัวนี้สูตรเข้มข้นเลยค่ะ เป็นสูตรพิเศษ เพื่อคนดื้อยามาก่อนหรือลงยากๆ ก็ค่อยๆลงได้ค่ะ จากวันที่หนัก 105 โล หมวยคิดว่าไม่ได้แล้วล่ะ เราปล่อยตัวให้อ้วนแบบนี้มาหลายปีและ เราต้องมีอนาคตใหม่ เราต้องเริ่มต้นสิ่งใหม่ เพื่อตัวเราเอง เพื่อครอบครัว และเพื่อสุขภาพของเราด้วย เมื่อมีเป้าหมายแล้ว
หมวยก็ตั้งใจลดน้ำหนักเต็มที่ ครั้งนี้เราต้องตั้งใจจริงๆ หมวยทานสมุนไพรเพื่อเร่งเผาผลาญแคลอรี่และไขมัน และความมีวินัยของหมวยด้วย ไม่ทานพวกของมันๆ หวานๆ ทอดๆ ทานจุกจิก น้ำหวาน น้ำอัดลม น้ำหนักหมวยก็ลงได้เรื่อยๆค่ะ
เมื่อลดไปได้ระดับหนึ่ง ระบบการเผาผลาญเราดีขึ้นแล้วหลังทานสมุนไพร หมวยก็อยากให้ผอมเร็วขึ้นไปอีก ก็ไปออกกำลังกายค่ะ ลงไวมากๆ ลงไวเว่อร์ๆเลยค่ะ ไม่ยากเลยค่ะ หากเรามีวินัยและมีความตั้งใจ และทานสมุนไพรเพื่อเป็นตัวช่วยในการเร่งเผาผลาญให้ลงไวขึ้นไปอีก เป็นสิ่งที่ดีมากๆ ผอมลงได้เร็วเลยค่ะ
เหมือนลูกค้าหมวยหลายๆท่าน ผอมลงกันเร็ว ลดลงได้ไวมาก บ้างก็ไปกระโดดเชือก ไปเต้น ไปวิ่ง ว่ายน้ำ เดินไกลๆ ทำงานบ้าน หากิจกรรมต่างๆทำควบคู่ร่วมกันไปด้วย ผอมลงกันไวเลยค่ะ บางท่านลงกันเดือนละ 7-10 โลกันเลยค่ะ ลดเก่งกว่าสมัยหมวยลดอีกค่ะ
เมื่อผอมแล้วก็หยุดทานได้เลยค่ะ ไม่กลับมาอ้วนอีก เพราะเซลล์ไขมันต้องหายไปจริงๆ พอผอมแล้วจากนั้นเราจะรู้จักปรับปรุงพฤติกรรมของเราได้เองเลย แล้วหมวยก็ปรับเปลี่ยนบุคลิกใหม่ๆ มันคุ้มค่าจริงๆค่ะกับสิ่งที่ทุ่มเทลงใหม่ หมวยปรับสไตล์การแต่งหน้า การแต่งตัวใหม่ เรียกว่าผอมแล้วมันมั่นใจจริงๆค่ะ อะไรดีๆก็เข้ามาค่ะ
ความสวยที่มาไวคือกำไรของชีวิตจริงๆค่ะ สุขภาพก็ดีขึ้นเยอะเลยค่ะ
วันพุธที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2558
อย่าหลงเชื่อยาผงสมุนไพรคล้ายขมิ้น
อย่าหลงเชื่อยาผงสมุนไพรคล้ายขมิ้น
เปิดเผยว่า ตามที่มีผู้บริโภคแจ้งเรื่องร้องเรียนมาทาง อย. เกี่ยวกับยาสมุนไพรที่มีลักษณะเป็นผงสีเหลืองคล้ายขมิ้น บรรจุอยู่ในซองพลาสติกใส โดยมีฉลากระบุว่า “สมุนไพรไทยเพื่อสุขภาพ แก้เลือดลม 12 จำพวก ปวดเมื่อยตามร่างกาย หรือเหน็บชา กินข้าวไม่ได้ นอนไม่หลับ บรรเทาอาการอัมพฤกษ์ อัมพาตหญิงชายผอมแห้ง กินแล้วราศีดีขึ้น” ระบุวันที่ผลิต 9 ธ.ค. 57 วันหมดอายุ 9 ธ.ค. 60 วางจำหน่ายจำนวนมากทางภาคเหนือ ซึ่งยาดังกล่าวไม่มีทะเบียนยา และมีการอวดอ้างสรรพคุณว่าเป็นสมุนไพรแก้ปวดที่สามารถรักษาโรคครอบจักรวาล
โดยยาสมุนไพรดังกล่าวนี้มีชาวบ้านที่มีอาการเป็นแผลที่เท้าซื้อไปกินเพื่อรักษาอาการปวดที่แผล เมื่อกินแล้ว หายปวดทันที แต่แผลที่เท้าบวมขึ้น จึงไปหาหมอเพื่อเจาะเอาหนองออกจนเกือบต้องตัดขาทิ้ง เมื่อนำยาไปตรวจสอบ พบมีส่วนผสมของสารสเตียรอยด์
อย.มีความห่วงใยผู้บริโภค จึงขอเตือนผู้บริโภคอย่าหลงเชื่อคำโฆษณาและซื้อยาดังกล่าวมารับประทาน และหากผู้ประกอบการซื้อยาชนิดนี้มาจำหน่าย ถือว่ามีความผิดข้อหาขายยาโดยไม่ได้ขึ้นทะเบียนตำรับยา ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 5,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
5 อาหารดีๆ บำรุงไต
การรับประทานอาหารหลายๆอย่างที่มากเกินความจำเป็น จะทำให้ร่างกายของเราได้รับสารอาหารบางชนิดเกินกว่าความต้องการและอาจทำให้ “ไต” ต้องทำงานหนักและเสื่อมเร็วได้
1. กระเทียมสด จะมีสารอัลลิซิน ซึ่งเป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระที่ดี มีสรรพคุณในการยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัส และเชื้อรา รวมทั้งป้องการโรคหัวใจโรคหลอดเลือด ลดความดันโลหิต ที่สำคัญยังช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคไต และการอักเสบต่างๆ
2. หอมหัวใหญ่ เป็นอาหารบำรุงสุขภาพสำหรับคนที่มีระดับครีเอตินิน ในระดับสูง หรือผู้ที่มีปัญหาเรื่องโรคไต ซึ่งในหอมหัวใหญ่จะมีสารประกอบธรรมชาติอย่างโพรสตาแกลนติน ที่มีคุณสมบัติในการลดความหนืดของเลือด และช่วยลดความดันของเลือด ซึ่งจะทำให้ลดอาการโรคไตลงได้
3. กะหล่ำปลี จะมีวิตามิน C กรดฟอลิก เส้นใย และยังมีโพแทสเซียมต่ำ ซึ่งสามารถขจัดสารพิษบางอย่างออกจากร่างกายได้ ทำให้ลดภาระการทำงานของไตได้ และป้องกันการเกิดโรคหัวใจ และโรคความดันโลหิตสูง ซึ่งทั้ง 2 โรค สามารถเชื่อมโยงการเกิดโรคไตได้
4. ปลาสด เช่น แซลมอน เทราต์ และซาร์ดีน อุดมไปด้วยโปรตีนและโอเมก้า 3 ที่คนไม่สามารถผลิตเองได้ ซึ่งการกินปลาสดเป็นประจำจะช่วยลดความเสี่ยงเป็นโรคหัวใจ ความดันโลหิต และคอเลสเตอรอลสูงได 5. แครนเบอร์รี่ ผลไม้ลูกเล็กสีแดงที่จะช่วยเพิ่มความเป็นกรดของปัสสาวะ และลดความเสี่ยงในการเป็นกระเพาะปัสสาวะอักเสบได้ด้วย
วันอังคารที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2558
ครอบแก้ว อีกทางเลือกของแพทย์แผนจีน
ครอบแก้ว อีกทางเลือกของแพทย์แผนจีน
ไม่ใช้สารเคมี ไม่ใช้เทคโนโลยี มีแต่ "แก้ว" และ "ความร้อน" เพื่อสลายสาเหตุของโรคภัยที่เกาะกินคุณอยู่ อาจจะต้องแลกกับรอยฟกช้ำที่ดูน่ากลัวไปสักนิด แต่ก็นับเป็นคำตอบแทนที่คุ้มค่าสำหรับความเจ็บปวดที่กำลังจะหายไป แล้วคุณล่ะ จะลองเปิดใจให้แก่การรักษาที่มีอายุหลายพันปีชนิดนี้บ้างมั้ย?
ความจริงก็คือ "การครอบแก้ว" ไม่ใช่วิธีใหม่เลย เพราะมันอยู่ในตำราแพทย์แผนจีนเป็นระยะเวลาหลายพันปีมาแล้ว เคียงคู่กับการฝังเข็ม สมุนไพรจีน นวดทุยหนา ฯลฯ ในสมัยโบราณเขาใช้เขาสัตว์มาทำ แต่เมื่อเวลาผ่านไปวัสดุในการรักษาก็ทันสมัยมากขึ้นเรื่อย ๆ และแพร่หลายไปทั่วโลก จนอาจเปลี่ยนจากแก้วจุดไฟเป็นโหลพลาสติกสุญญากาศแทน แต่หัวใจของการครอบแก้วก็ยังอยู่
ตามตำราจีนเชื่อกันว่าในร่างกายเรามีพลังชิ (Qi) ซึ่งอาจอ่อนแอ หรือกระจัดกระจายได้จากไลฟ์สไตล์และพิษจากภายนอก การครอบแก้วก็จะช่วยนำพลังชินี้ให้กลับมามีเส้นทางดังเดิม พร้อมกับกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ทั้งยังเชื่อว่าจะช่วยดูดพิษออกจากร่างกายได้อีกด้วย
ครอบแก้ว คือ วิธีการรักษาตำรับแพทย์แผนจีนโบราณซึ่งใช้แก้วครอบลงบนผิว จากนั้น จึงลดความดันภายใน โดยการใช้ความร้อนหรือการดูดอากาศออก จนผิวหนังและกล้ามเนื้อถูกดูดเข้าไปในแก้ว อาจมีการใช้น้ำมันสมุนไพรทาผิวหนังก่อน เพื่อให้การเคลื่อนแก้วเป็นไปโดยง่ายขึ้น แก้วอาจถูกครอบนานประมาณ 5-15 นาที จากนั้นผิวหนังจะแดง เมื่อเอาแก้วที่ครอบออกแล้วผิวจะแดงช้ำ นั่นหมายความว่าเลือดคั่งอย่างจงใจเพื่อการรักษาโรค และแม้ว่าผิวหนังบริเวณที่ถูกครอบแก้วจะมีสีน่ากลัว แต่ก็ไม่ได้เจ็บอย่างที่เห็น เนื่องจากผิวของคนไข้หลายคนช้ำง่ายอยู่แล้ว และแก้วที่ครอบก็อาจปรับให้เหมาะกับคนไข้ได้ สิ่งสำคัญก็คือคุณควรบอกกับแพทย์ หากรู้สึกเจ็บปวดจริง ๆ
ชนิดของขวด หรือกระบอกที่ใช้ครอบแก้วมีอยู่มากมาย ในปัจจุบันที่ใช้กันบ่อย ๆ มีอยู่สามชนิด ได้แก่ ไม้ไผ่ กระเบื้อง และแก้ว ซึ่งมีคุณสมบัติต่างกันไป อย่างเช่น ไม้ไผ่ ถึงแม้จะถูกแต่ก็มีแรงดูดไม่พอ ร้าว และรั่วง่าย ส่วนกระเบื้องนั้นมีแรงดูดดี ปากเรียบ ไม่คม แต่ตกแตกง่าย จนถึงขวดแบบแก้วที่มีลักษณะคล้ายลูกบอล มีข้อดีก็คือ แก้วใสจึงสามารถสังเกตผิวหนังเวลาครอบได้ชัดเจน ส่วนข้อเสียก็คือแตกง่าย อย่างที่เราได้กล่าวไปแล้วว่า การครอบแก้วจะใช้ความร้อนเพื่อลดแรงดันภายในขวดแก้ว (หรือขวดอื่น ๆ) และก็มีหลายวิธีเช่นกันในการให้ความร้อน เช่น ส่านหั่น หรือการจุดไฟเผาลำสีแอลกอฮอล์แล้วนำเข้าไปวนในกระบอกแก้วก่อนครอบ ซึ่งเป็นวิธีที่ค่อนข้างปลอดภัย เช่นเดียวกับวิธีการต้มด้วยน้ำ ซึ่งจะทำกับกระบอกไม้ไผ่ แต่หากเป็นวิธีอื่น ๆ แล้วภายในขวดแก้วที่ครอบอาจมีเปลวไฟอยู่ด้วยซ้ำ จึงต้องระมัดระวังอย่างมาก ไม่ให้ลวกหรือโดนผิวหนัง และคุณก็ไม่ควรลองครอบแก้วด้วยตนเองที่บ้านเด็ดขาดด้วย
ครอบแก้วทำอย่างไร?
ในการรักษาโดยการครอบแก้ว แพทย์จะเป็นผู้กำหนดว่า จะใช้วิธีใดจึงจะเหมาะ ซึ่งอาจยกตัวอย่างการครอบแก้วได้ดังนี้ :
1.โจ่วก้วน หรือเรียกอีกอย่างว่าทุยก้วน เป็นการครอบแก้วแบบเคลื่อนไหว คือจะใช้วาสลีน หรือน้ำมันหล่อลื่นทาลงไปบนตำแหน่งที่จะทำการครอบแก้ว หรือทาไว้ที่ปากกระบอก จากนั้น จึงนำแก้วครอบลงไปแล้วเคลื่อนไปยังตำแหน่งขึ้น-ลง หรือซ้าย-ขวา ตามที่ต้องการจนกว่าผิวหนังจะแดงจากการที่เลือดคั่ง จึงเอากระบอกแก้วออก มักใช้กับเนื้อที่ขนาดใหญ่และมีกล้ามเนื้อมาก เช่น แผ่นหลัง เอว ก้น ต้นขา เพื่อรักษาโรคปวดจากลมและความชื้น รวดทั้งอาการชาด้วย
2.ส่านก้วน คือการครอบแก้วแบบดึงเร็ว หลังจากครอบแก้วเสร็จแล้วจะต้องรีบดึงเอาแก้วออก และทำเช่นนี้ซ้ำ ๆ หลายครั้งจนกว่าผิวหนังบริเวณดังกล่าว จะเปลี่ยนเป็นสีแดงคือ มีภาวะเลือดคั่งแล้วจึงหยุด ส่วนมากใช้รักษาผู้ป่วย ที่มีอาการปวดและชาที่ผิวหนังหรือสมรรถภาพเสื่อมถอย
3.ชื่อเซียวะเป๋าก้วน เป็นการครอบแก้วที่ประสานกับการใช้เข็มเพื่อแทงสะกิดเลือด หลังจากการฆ่าเชื้อตำแหน่งที่ต้องการทำการครอบแก้วแล้ว จะมีการใช้เข็มซานหลิงจิ้มให้เลือดออก หรือใช้เข็มดอกเหมยเคาะตี หลังจากนั้น จึงครอบแก้วลงไปเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการรักษา ส่วนมากใช้รักษาโรคไฟลามทุ่ง ฝีหนอง ที่เต้านม หรือเคล็ดขัดยอก เป็นต้น
4.หลิวเจินป๋าก้วน คือการครอบแก้วที่ใช้คู่กับการฝังเข็ม เรียกง่าย ๆ ว่า เจินก้วน วิธีการรักษานี้ใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการฝังเข็ม และการครอบแก้วควบคู่กัน คือ หลังจากปักเข็มลงไปแล้ว จากนั้น จึงนำแก้ว ครอบลงไปโดยมีเข็มที่ปักอยู่เป็นจุดศูนย์กลาง ประมาณ 5-10 นาที รอจนผิวเป็นสีแดงหรือมีเลือดคั่งจึงเอาแก้วและเข็มออก
ครอบแก้วรักษาอะไรได้บ้าง
ปัจจุบันมักใช้การครอบแก้วเพื่อบรรเทาอาการปวด แต่ก็สามารถรักษาอาการเจ็บป่วยอื่นได้เช่นกัน อย่างเช่น โรคระบบทางเดินอาหาร โรคระบบทางเดินหายใจ โดยเฉพาะไอเรื้อรัง หรือหอบ และอัมพฤกษ์หรืออัมพาต นอกจากนี้ ยังเชื่อว่าความร้อนจากถ้วยที่ไปกระตุ้นพลังงานชิ (Qi) จะทำให้จิตใจของผู้ป่วยรู้สึกเหมือนได้รับการเยียวยา จึงอาจเป็นอีกหนทางหนึ่งในการรักษาโรคซึมเศร้าแต่อย่างไรก็ตาม ผู้ที่มีไข้ขึ้นสูง เป็นหวัด มีอาการชักมีเนื้องอกหรือมีแนวโน้มว่าจะมี จะถูกห้ามไม่ให้รักษาด้วยวิธีการนี้โดยเด็ดขาด เช่นเดียวกับหญิงที่ตั้งครรภ์สามเดือนแรก (หลังจากนั้นก็ห้ามไม่ให้ใช้การครอบแก้วบริเวณครรภ์ หรือบริเวณหลังเอว และกระเบนเหน็บเด็ดขาด)
การนวด กัวซา"
มาทำความร็้จักกันก่อนดีกว่า กัวซาคือ...
ภูมิปัญญาชาวบ้านของชาวจีน ชาวเขา กัมพูชา และเวียดนาม
ซึ่งเป็นมรดกตกทอดจากบรรพบุรุษจวบจนปัจจุบัน มีประสิทธิภาพโดดเด่นในการเอาพิษออกจากร่างกายทางผิวหนัง ปัจจุบันนี้ สังคมเจริญก้าวหน้า
เศรษฐกิจรุ่งเรือง แต่สุขภาพของผู้คนกลับถดถอยลง
ยิ่งเมื่อประสบภาวะความกดดันและการทำงานที่รีบเร่ง ทำให้ผู้คนมีเวลาออกกำลังกายน้อยลง เป็นผลให้เซลล์ในร่างกายไม่สามารถทำงานหมุนเวียนได้ราบรื่น
ทำให้เกิดโรคเรื้อรังหลายชนิด และโรคร้ายแรงจากความเจริญก้าวหน้า ยิ่งกว่านั้นโรคที่เกิดจากเซลล์ทำงานผิดปรกติ
ล้วนเป็นโรคที่การแพทย์แผนปัจจุบัน ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ ดังนั้น
“การถอนพิษแบบกัวซา”
จึงได้รับความนิยมขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง และยังสามารถพึ่งตนเองได้อีกด้วย
การถอนพิษแบบกัวซาคือ การขูดผิวหนังเพื่อกระตุ้นระบบหมุนเวียนโลหิต ส่งเสริมการไหลเวียนของพลังปราณในร่างกาย และเป็นการถอนพิษที่ไม่ถูกจำกัดทั้งเวลา และสถานที่ สามารถทำได้ทุกเวลาที่ต้องการ เพียงแต่เจียดเวลาวันละไม่กี่นาที ขูดจากศีรษะจนถึงเท้า ก็สามารถกระตุ้นให้เลือดหมุนเวียนได้ดีขึ้น กระตุ้นระบบเมตาโบลึซึ่ม ของร่างกาย ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือ สุขภาพที่แข็งแรง
อุปกรณ์สำหรับทำกัวซา มีทั้งทำจากไม้ เขาควาย ต่างๆกันไปตามกำลังทรัพย์ของผู้ทำ
จขกท. ได้มีโอกาสทำทั้งตัว โดยผู้ทำจะใช้ไม้กัวซา (ทำจากเขาควายเป็นสีดำ) ขูดเบาๆลงบนผิวแผ่นหลัง
เชื่อมั้ยว่า แทบดิ้นค่ะ เพราะจขกท. เป็นโรคอ๊อฟฟิศซินโดรม คือจะปวดช่วงหลัง บั้นเอว ต้นคอ
พอไม้กัวซาโดนบริเวณที่เคยปวดก่อนหน้านี้ มันจะปวดจี๊ดดดดดด ขึ้นมาเลย (อารมณ์ประมาณเจ็บซ้าดดดดดด)
แต่บริเวณไหนที่ไม่มีอาการ ก็จะไม่มีความรู้สึกใดๆ เขาบอกกันว่า กัวซาสามารถคลายเส้นได้, ตัดพังผืดได้
วิธีการทำคือทาน้ำมันสมุนไพรลงไป
ก่อนจะใช้ไม้กัวซาขูดผิวหนังตามจุดต่างๆ บนร่างกาย หากว่าผู้ถูกขูดไม่มีพิษ รอยที่ขูดจะเป็นสีชมพู และจะจางหายไปในเวลาประมาณ 20-30 นาที แต่หากผู้ถูกขูดมีพิษในร่างกาย ผิวหนังจะกลายเป็นสีช้ำ เขียว ม่วง เป็นจุดจ้ำๆ เหมือนเม็ดทราย ซึ่งนั่นก็คือ “ซา” หรือพิษที่ถูกขูดออกมา และใช้เวลาราว 4-5 วันรอยจึงจะหายไป
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)